วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

สูตรความงามจากธรรมชาติ “ช่วยผิวสวยขาวใส”


4 สูตรความงามจากธรรมชาติ

สูตร 1 องุ่น หรือกล้วยหอม

- นำองุ่นหรือกล้วยหอมที่กำลังสุกพอดี อย่าให้งอมเกินไปนัก ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมสด น้ำผึ้ง ปั่นรวมกันจนได้เป็นครีมแล้วนำมาพอก และนวดให้ทั่วผิวกาย เน้นที่จุดแห้งกร้าน อย่างข้อศอก หัวเข่า เท้า แล้วทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาที จึงค่อยล้างออก

สูตร 2 ฝรั่ง

- ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ผู้หญิงในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอาง ทาผิวหน้ามานานแล้ว เพราะฝรั่งมีโพแทสเซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนังจึงทำให้ผิวหนังมีความ ชุ่มชื้นขึ้นและยังมีวิตามินบี 2 และบี 5 ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลังในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ สามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ ใหม่ การเตรียมสูตรบำรุงผิวจากฝรั่งให้เลือกฝรั่งสดที่ไม่สุกจนเกินไป เลือกเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหั่นเป็นชิ้นเล็ก ใส่น้ำ และน้ำผึ้ง ปั่นรวมจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำทุกวันก่อนเข้านอนหน้าจะสดใสและเกลี้ยงเกลาขึ้น

สูตร 3 มะม่วง

- มะม่วงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นทำให้ผิวเรียบ ลื่น และสดชื่น ป้องกันผิวจากรอย เหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือปั่นแล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้าทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้ง จึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้นโดยสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

สูตร 4 สับปะรด

- สับปะรดช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วและลดการอักเสบของผิว สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมี เกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น ให้เตรียมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาด คนให้เข้ากันพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกจะทำให้หน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น
สุดท้ายขอฝากเคล็ด ลับในการนำผลไม้มาช่วยบำรุงผิวพรรณมีหลักการง่ายๆ คือ ต้อง สะอาด ผลไม้ต้องสดใหม่มีคุณภาพดี การปั่นหรือย่อยขนาดจนละเอียดเพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ผิวคุณสวยสดใสชุ่มชื่นได้แบบง่ายๆ แล้วค่ะ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารบํารุงเส้นผม

- ศีรษะแห้งและมีรังแค อาจเพราะขาดธาตุสังกะสีซึ่งมีมากในอาหารเช่น หอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง กรดไขมันจากน้ำมันพืชทุกชนิด ปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาซาร์ดีน ปลาซัลมอน และถั่วเมล็ดแห้ง

- ผมร่วง อาจเกิดจากการขาดวิตามินเอที่มีมากในข้าวกล้อง ปลาที่มีไขมันมาก 
ถั่ว ไข่ นม โยเกิร์ต - ผมกระด้าง อาจเกิดจากการขาดวิตามินบีที่มีมากในอาหาร
เช่น ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม

- ผมเปราะแตกหักง่าย อาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็กซึ่งมีมากในเมล็ดงา 
ปลาซาร์ดีนปลาทูน่า เนื้อวัว ตับ แอพริคอตแห้ง 

- ผมเสียมาก อาจเกิดจากการขาดธาตุทองแดงและสังกะสี

ซึ่งทองแดงพบมากในตับวัว หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ปู กุ้งมังกร เห็ด ถั่วลิสง ลูกพรุน ส่วนสังกะสีพบมากในหอยนางรม เนื้อซี่โครงหมู ปลาซาร์ดีน จมูกข้าวสาลี

            อาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผมโดยรวม หาได้จากไข่และผลิตภัณฑ์จากนม 
ผักใบเขียวเข้ม ฟักทอง แครอท และผักอื่น ๆ ที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ปลาที่มีไขมันมาก อาหารทะเล เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้งถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้สดทุกชนิดที่อุดมด้วยวิตามินซี และที่ขาดไม่ได้คือ การดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ( 6-8 แก้ว ) แล้วผมคุณจะสวยจนคนตะลึง

มังคุดช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง


มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ กับรสชาติที่หอมหวานและกลมกล่อม มังคุดยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและความงาม  มังคุด  ได้ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภททั้งมังคุดอบแห้ง น้ำมังคุด ไวน์มังคุด อาหารเสริมจากมังคุด ยาสระผมมังคุด ครีมนวดผม สบู่ โลชั่น และอื่นๆอีกมากมาย โดยผลจากการศึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย โดยการนำของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา, รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม, รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.อำไพ ปั้นทองซึ่งทำการวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ของมังคุดมานานกว่า 3 ทศวรรษ (สามสิบกว่าปี) ได้พบว่า มังคุดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงมากในเชิงสุขภาพ
โดยสามารถ ปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการลดการหลั่ง Interleukin I และ Tumor Necrosis Factor ซึ่งตามหลักวิชาของศาสตร์ภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดอาการที่เกี่ยวกับการแพ้ภูมิตนเอง และการอักเสบ พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ตับเสื่อม, ไตวาย, ข้อเข่าอักเสบ, ความดันโลหิต, โรคพาร์กินสัน, ไทรอยด์เป็นพิษ, และความผิดปกติของสมอง อันเกิดจากการอักเสบ ขณะเดียวกัน มังคุดก็สามารถเพิ่มการหลั่งสาร Interleukin II ของเม็ดเลือดขาวช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือ เซลล์มะเร็ง
ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ร่วมวิจัยกับค่าย Henkel KGa ของประเทศเยอรมนี ค้นพบด้วยว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 (แซนโทนส์ที่ดีที่สุดในมังคุด) ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และระงับปวด โดยมีความแรงกว่ายาแอสไพรินถึง 3 เท่า จากจุดนี้เองได้มีการต่อยอดการวิจัยพัฒนาไปสู่การทำเครื่องสำอางค์ต่างๆจากสารสกัดเปลือกมังคุดเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง และอาการผิวแพ้ง่าย
                      ขณะที่ในปัจจุบัน ทางคณะวิจัยดังกล่าวได้ร่วมมือกับเครือข่ายทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ ทำการศึกษาถึงคุณประโยชน์ของการดื่มน้ำมังคุดสกัดเข้มข้น เพื่อช่วยเยียวยาอาการป่วยของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายอีกด้วยค่ะ

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ผิวขาวใสสูตรโบราณ^^

          ผิวขาวใสสูตรโบราณ ผิวหนัาและผิวหนังรอบดวงตาของ

คุณจะสดใสดูอ่อนวัยได้ไม่ยากอีกต่อไป แถมไม่ต้องเสียเวลาเสีย


เงินซื้อเครื่องบำรุงจำนวนมากๆ ด้วย 


            

        เพียงแค่นำมะขามเปียกมาผสมกับน้ำ ขยำจนได้น้ำส้มมะขาม

ข้นๆ จากนั้นเติมน้ำผึ้งลงไปสัก 1 ช้อนชา คนจนเข้ากันดี 


นำมานวดให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะรอบดวงตา 


ทิ้งไว้สัก 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเดือนละ 1-2 


ครั้ง ผิวหน้าก็จะดูขาวใสนวลเนียน ดูอ่อนเยาว์ได้แล้ว

การดูแลผิวง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน สูตรธรรมชาติ

 เอนไซม์มะละกอช่วยผลัดผิว 
           การใช้เอนไซม์จากมะละกอช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหน้า การพอกมะละกอบดละเอียดบนผิวหน้าในระหว่างอบไอน้ำจะช่วยทำให้หน้าขาว ใส ยิ่งขึ้น การเตรียมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร นำมะละกอสุกมาบดละเอียด ในขณะที่เตรียมน้ำเดือดเพื่ออบไอน้ำผิวหน้า

           เมื่อน้ำพร้อมแล้ว ให้ทามะละกอสุกบนใบหน้า โดยหลีกเลี่ยงรอบดวงตา ต่อจากนั้นจึงอังหน้ากับชามอ่างภายใต้ผ้าขนหนูตามวิธีการอบไอน้ำผิวหน้าได้เลย 

          
โทนเนอร์น้ำผลไม้ 
           หลังจากล้างหน้าแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน และปรับสภาพ pH ของผิวหน้า หากเบื่อใช้โทนเนอร์ที่มีขายตามท้องตลาด ผักและผลไม้นั้นมีวิตามินและเอนไซม์ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนเสมอกันทั่วใบหน้าและช่วยขัดผิวได้ วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเช่นกัน ให้นำผลไม้ที่ชอบ โดยอาจเลือกจากสรรพคุณของผลไม้ นำผลไม้มาประมาณ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นหรือบดให้ละเอียด เติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ลงไปประมาณ 25 มิลลิตร ทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกากออกไป เก็บแต่น้ำไว้ใช้ ข้อควรระวังคือ ต้องทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำโทนเนอร์น้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นชาม เครื่องปั่น มีด ผ้าขาวบาง หรือแม้กระทั่งมือตัวเองให้สะอาด มิเช่นนั้นโทนเนอร์น้ำผลไม้ที่ได้ แทนที่จะช่วยทำความสะอาดผิวอาจจะทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองเนื่องจากสิ่งสกปรกตกค้างจากภาชนะเหล่านั้น 

สรรพคุณของผลไม้แต่ละประเภท 
1. ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว 
2. แตงกวา ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวมัน 
3. ฝรั่ง ขัดผิว มีส่วนผสมของกรด AHA 
4. ตะไคร้ ทำความสะอาดผิว สำหรับทุกสภาพผิว 
5. สับปะรด ขัดผิว มีส่วนผสมของ AHA 
6. มะขาม ขัดผิว ช่วยให้ผิวขาว เหมาะสำหรับผิวมัน 
7. ไพล และ ผงลูกจันทน์เทศ ขัดผิว 

           ส่วนผสมประกอบด้วย ไพลสด 1 ช้อนโต๊ะ และ ผงลูกจันทน์เทศ 1 ช้อนชา ตัวขัดผิวนี้มีส่วนผสมของไพล ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นยาครอบจักรวาลสำหรับผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและบำรุงผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เมื่อขัดเสร็จแล้วผิวจะมีกลิ่นเผ็ดร้อนนิดๆ ล้างไพลให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก ปั่นด้วยเครื่องปั่น จากนั้นเทผงลูกจันทน์เทศลงไป คลุกเคล้าจนเข้ากัน ทาลงบนใบหน้าและขัดเบาๆจนทั่วหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น 

            นำน้ำผึ้ง และ แตงกวา ขัดผิว ส่วนผสมประกอบไปด้วย น้ำผึ้ง 8 ออนซ์ น้ำมะนาวคั้น 10 หยด แตงกวา ฝานเป็นแผ่นบางๆ น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ช่วยลดความระคายเคืองของผิว และบรรเทาอาการอักเสบ ในขณะเดียวกันน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว ล้างหน้าให้สะอาด ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก 

             เมื่อเสร็จขั้นตอนแรกแล้วให้วางแผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็นและตึง และเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆอีกครั้ง 


             ขมิ้นพอกผิว ส่วนผสมประกอบด้วย ขมิ้นสด 10 กรัม ถั่วเหลือง 15 กรัม ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีมีสรรพคุณลดอาการอักเสบและสมานผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และไฟโตเอสโตรเจน ที่ช่วยทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น วิธีการเตรียม ให้นำขมิ้นมาล้างและปอกเปลือกออกปั่นให้ละเอียด หากเป็นสมัยปู่ยาตาทวดเราใช้ครกกับสากบดซึ่งกินเวลานานเกินไป ไม่ทันใจสาวสมัยใหม่ ปัจจุบันใช้เครื่องปั่นจะสะดวกกว่า เมื่อปั่นขมิ้นเสร็จแล้วให้พักไว้ นำถั่วเหลืองไปล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น 


             เป็นอย่างไรบ้างค่ะ สารอาหารธรรมชาติ ที่เรานำมาบอกกัน หาไม่ยากเลยใช่ไมค่ะ แถมมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากอีกด้วย ดังนั้นสาวๆ ก็เลือกที่ให้เหมาะกับตัวเองน่ะค่ะ

ทาครีมบำรุงอย่างไร ให้ประสิทธิภาพสูงสุด???

1. ขัดผิวก่อนใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะ ผิวของเรา ผลัดเซลล์ผิวทุก ๆ 2-3 วัน ดังนั้นเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่ยังคงอยู่บนใบหน้า อาจเป็นตัวขวางกั้นให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวซึมซับลงไปสู่ผิวภายในอย่างทั่วถึง การขัดหรือสครับผิวเพื่อผลัดเซลล์ผิวออกก่อนแล้วค่อยทาครีมบำรุงต่าง ๆ จึงเป็นวิธีที่สามารถทำให้ครีมนั้นซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น 

2. ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นก่อนใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพราะการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจะเป็นการเปิดรูขุมขน ให้ครีมบำรุงต่าง ๆ ได้ซึมซาบลึกลงไปโดยง่ายและรวดเร็ว


 3. ไม่ว่าจะล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ ควร ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลังล้างหน้าไม่เกิน 2 นาที เพราะเป็นช่วงเวลาที่ใบหน้าสะอาดหมดจด ยังไม่มีการผลิตน้ำมันออกมาบนผิว ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์ซึมซาบสู่ผิวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


4. ใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่มากพอ ไม่ ว่าคุณจะซื้อผลิตภัณฑ์นั้นมาในราคาที่แพงจนไม่กล้าใช้เปลืองก็เถอะ แต่จะดีกว่าไหมหากคุณใช้มันในปริมาณที่มากพอที่จะบำรุงผิวได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วปริมาณครีมที่มากพอที่จะใช้ทาทั่วใบหน้า ควรมีปริมาณเท่ากับเหรียญบาทค่ะ ดังนั้นใครใช้ในปริมาณน้อยกว่านี้แล้วกำลังครวญว่าไม่เห็นจะได้ผลเลย ลองพิจารณาข้อนี้กันใหม่ดูค่ะ 


5. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้น หรือเซรั่มบำรุงผิว ถ้า หากอยากให้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้นั้นมีประสิทธิภาพและเห็นผลอย่างแท้จริง เพราะในปัจจุบันมีครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายอย่าง ที่ผสมน้ำหอม ดึงดูดด้วยกลิ่น และมีส่วนผสมบำรุงผิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น การคำนึงถึงความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสาว ๆ ที่อยากเห็นผลในช่วงเวลารวดเร็วค่ะ ทั้ง นี้ ข้อแนะนำดังกล่าวจะไม่สามารถใช้ได้กับสาว ๆ ที่มีอาการแพ้ หรือสาว ๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไปพร้อม ๆ กับการออกแดดอย่างหนักด้วย และไม่ดูแลเรื่องสภาวะแวดล้อมที่อาจมีผลเสียต่อผิวหน้าเลยนะคะ หรือ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าหากอยากจะให้ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้เกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง ก็ควรใช้ควบคู่ไปกับการดูแลและป้องกันผิวจากปัจจัยทำลายผิวด้วยนั่นเองค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับความงามตั้งแต่หัวจรดเท้า :D


โฮมสปา
          
        มีสาว ๆ คนไหนชอบทำโฮมสปากันบ้างไหมคะ ปรนนิบัติตัวเองอย่างสุดชิล แสนจะผ่อนคลาย ไม่ต้องเขินไม่ต้องอายสายตาของใคร เรื่องวัตถุดิบทั้งหลายก็มั่นใจได้ว่าสะอาดและสดใหม่ เพราะคุณสามารถมีทุกอย่างที่ต้องการได้ แค่เข้าไปรื้อไปค้นในครัวดูเท่านั้นเอง แถมยังได้สนุกสนานกับการทดลองสูตรปรนนิบัติความงามแบบโฮมเมดทั้งหลายอีก วันนี้ กระปุกดอทคอมก็หยิบเอาสารพัดวิธีการปรนนิบัติความงามฉบับโฮมเมดมาฝากกันค่ะ สวยตั้งแต่ผิวพรรณไปจนถึงปลายเล็บเลยทีเดียวล่ะ ตามมาดูกันเลยจ้า
    1. สครับเกลือทะเล
          หากคุณมีเกลือทะเล ผิวเรียบลื่นเนียนนุ่มก็จะเป็นของคุณได้โดยไม่ต้องอาศัยสครับแพง ๆ เลย เริ่มต้นจากชโลมผิวบริเวณที่จะทำการสครับให้เปียกชุ่ม จากนั้นจึงนำเกลือทะเลลงไปนวดวนเบา ๆ ล้างออกด้วยน้ำเย็น ซับผิวให้แห้ง แล้วตามด้วยการทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวอีกที เท่านี้ผิวก็เรียบลื่นแถมเนียนนุ่มแล้ว

    2. กำราบตาแพนด้าด้วยมันฝรั่ง

          ใต้ตาดำคล้ำเหมือนหมีแพนด้า ทำให้ดูโทรมสุด ๆ กำราบมันได้โดยใช้มันฝรั่งดิบฝานเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำมาวางทาบไว้ที่ดวงตาประมาณ 15-20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด แล้วทาอายครีมตามปกติ ทำติดต่อกัน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วดวงตาของคุณก็จะกับมาสดใสไม่หมองคล้ำ

    3. เล็บขาวสวยด้วยยาสีฟันไวท์เทนนิ่ง

          หากเล็บเหลืองทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ จนต้องปกปิดมันไว้ด้วยด้วยการทาเล็บตลอดเวลา ซึ่งยิ่งทำให้เล็บเหลืองและดูโทรมมากขึ้น บอกลาวงจรซ้ำ ๆ เดิม ๆ นี้ด้วยการขัดเล็บให้ขาวสะอาดด้วยการใช้แปรงสีฟันเก่ากับยาสีฟันชนิดไวท์เท นนิ่ง มันจะช่วยขจัดคราบเหลืองบนเล็บ รวมถึงคราบยาทาเล็บตามซอกหลืบต่าง ๆ ออกไป แล้วเล็บเหลือง ๆ ก็จะกลับมาขาวได้อีกครั้ง หรือจะใช้วิธีจุ่มนิ้วให้เปียกโชกในน้ำมะนาว แล้วทิ้งไว้เช่นนั้น 5-10 นาที จึงล้างออก เล็บก็จะขาวสะอาดสวยได้เช่นกันค่ะ

    4. ลดเลือนริ้วรอยด้วยองุ่นเขียวไร้เมล็ด

          ข้อนี้สาว ๆ วัย 30+ คงจะชอบใจ คุณสามารถลดเลือนริ้วรอยจาง ๆ บนใบหน้าได้ ด้วยการใช้องุ่นเขียวชนิดไร้เมล็ด ผ่ากลาง แล้วนำมาถูวนทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วจึงล้างออก ทำติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง คุณจะเริ่มสังเกตได้ถึงใบหน้าที่สดใสและริ้วรอยที่ดูจางลง

    5. มาส์กน้ำผึ้งข้าวโอ๊ต

          สูตรนี้รับรองว่าทำแล้วผิวหน้าจะเนียนนุ่มสุด ๆ แค่ใช้ส่วนผสมของ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ครีมบำรุงผิว 1 ช้อนชา และข้าวโอ๊ต 1/2 ช้อนชา นวดวนทั่วผิวหน้า 3 นาที และมาส์กทิ้งไว้อีก 7 นาที จากนั้นจึงล้างออก ผิวหน้าจะเนียนนุ่มลื่นมือทันตาเห็น โดยข้าวโอ๊ตช่วยสครับเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ได้ครีมและน้ำผึ่งบำรุงเติมความชุ่มชื้น อีกทั้งน้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อได้ ใบหน้าคุณจึงสะอาดใสอย่างแท้จริง

    6. เท้านุ่ม ๆ แค่นั่งแช่แล้วผ่อนคลาย

          หากคุณมีเท้าที่หยาบกร้าน ลองหากะละมังย่อม ๆ ที่วางเท้าทั้งสองของคุณได้พอดีมาสักใบ และเติมลงไปด้วยส่วนผสมของ น้ำมะนาว 1 ถ้วย เปบเปอร์มิ้นท์ออยล์ 1/2 ช้อนชา น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ นม 1/4 ถ้วย และเติมน้ำลงไปผสมจนสามารถแช่เท้าคุณได้ท่วม จากนั้นก็แค่นั่งแช่เท้าผ่อนคลายตามอัธยาศัย ก่อนจะล้างเท้าก็ขัด ๆ ถู ๆ สักนิด ทำเช่นนี้ 2 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วเท้าของคุณก็จะนุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยล่ะ

    7. สยบสิวด้วยสตรอเบอร์รี่

          หากคุณมีปัญหาสิวที่ผิวหน้า หน้าอก หรือว่าแผ่นหลัง ให้ใช้สตรอเบอร์รี่สุกบดพอแหลก พอกบริเวณที่มีปัญหาทิ้งไว้ 2-3 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด กรดซาลิไซลิกที่มีอยู่ในสตรอเบอร์รี่จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุ ของการเกิดสิวได้

    8. อบไอน้ำผิวหน้า

          อบไอน้ำผิวหน้าให้สะอาดสดชื่น ด้วยการต้มน้ำให้เดือด ปิดเตา หยดเอสเซนเชียลออยล์จากเลมอนและยูคาลิปตัสลงไป รอจนน้ำอุ่นขึ้นจึงใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะและปากภาชนะเอาไว้ ไอน้ำอุ่น ๆ จะช่วยเปิดและทำความสะอาดรูขุมขน ทั้งกลิ่นของเอสเซนเชียลออยล์ก็ทำให้รู้สึกสดชื่น และทำให้ผิวหน้านุ่มขึ้นได้ด้วย

          แต่ละวิธีนั้นแสนง่าย แถมวัตถุดิบก็หาไม่ยาก ใครที่ชอบลองทำโฮมสปา อย่าลืมนำสูตรปรนนิบัติผิวตำรับโฮมเมดเหล่านี้ไปใช้กันดูบ้างนะคะ 

อาหารที่มีประโยชน์อย่างทึ่ง???


ผักสลัด
         ใคร ๆ ก็รู้ว่า อาหารจำพวกผัก ธัญพืช หรืออาหารที่ได้จากธรรมชาติส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ประโยชน์ของมันจริง ๆ กันบ้าง ว่าหลังจากที่คุณทานเข้าไปแล้ว มันจะไปซ่อมแซมหรือบำรุงร่างกายส่วนไหน วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอนำเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารจากธรรมชาติ 10 ชนิดที่มีประโยชน์จนน่าทึ่ง ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้มาฝากกัน ว่าแล้วก็ไปดูพร้อมกันเลยดีกว่าว่า อาหารทั้ง 10 ชนิดนี้มีอะไรบ้าง และมันมีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณอย่างไร 
 1. ผักสลัดน้ำ (WATERCRESS)

          ผักสลัดน้ำได้ชื่อว่าเป็นราชินีผัก จัดอยู่ในจำพวกผักใบเขียว มี 2สายพันธุ์คือเขียวและแดง เป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลี มีรสเผ็ดเล็กน้อย

          คุณประโยชน์

          ผักสลัดน้ำ 1 ถ้วยมีพลังงานเพียง แค่ 4 แคลอรี่เท่านั้น แต่อุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ มากมาย เช่น เอ ซี และเค ซึ่งสูงกว่าผักกาดธรรมดา 2 เท่า และมีลูทีน (LUTEIN) กับซีแซนทีน (ZEAXANTHIN) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากโรคจอตาเสื่อม มะเร็งเต้านม และโรคหลอดเลือดหัวใจได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถหั่นมาเพื่อทานคู่กับแซนด์วิช เด็ดก้านออกเพื่อทำเป็นสลัด ผัดไฟแดง แกงจืด ต้มทำเป็นซุป หรือกินสด ๆร่วมกับส้มตำน้ำพริกก็ได้

2. วานิลลา (VANILLA BEANS)


          วานิลลาเป็นพืชตระกูลกล้วยไม้ มีลักษณะเป็นฝัก มีกลิ่นหอม จึงมักใช้สำหรับแต่งกลิ่นและรสให้หวานขึ้น

          คุณประโยชน์

          ในวานิลลานั้นมีสารประกอบของ (PHENOLIC) ที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส แบคทีเรีย และช่วยแก้อาการอักเสบของแผลเป็นในร่างกายได้ด้วย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาผสมกับน้ำผลไม้หรือแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นเครื่องดื่มได้

3. ผงโกโก้ (COCOA POWDER)

          ผงโกโก้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากเมล็ดโกโก้อีกที มีส่วนประกอบหลักคือโกโก้และเนยโกโก้ โดยมีสารประกอบไขมันต่ำที่ได้จากเมล็ดโกโก้

          คุณประโยชน์

          อุดมไปด้วย แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และมีสารฟลาโวนอยด์ (FLAVONOID) ที่ช่วยป้องกันอาการชักและโรคหัวใจได้

          วิธีรับประทาน

          นำมาผสมเพื่อทำขนมต่าง ๆหรือสามารถนำมาผสมทำเป็นซอสได้

4. ข้าวฟ่าง (SORGHUM)


          ข้าวฟ่างเป็นพีชตระกูลหญ้า มีรูปร่างและรสชาติคล้ายข้าวสาลี ส่วนมากใช้สำหรับให้อาหารสัตว์ แต่คนก็สามารถนำมารับประทานได้เช่นกัน

          คุณประโยชน์

          ข้าว ฟ่างนั้นเป็นแป้ง จึงอุดมไปด้วยพลังงาน อีกทั้งยังมีวิตามินบีรวมและคลอเรสเตอรอลต่ำ ข้าวฟ่างช่วยเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารช่วยให้หลับง่าย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาใส่ในสลัดได้ นำมาทำเป็นโจ๊ก ทำเป็นขนมปังและสามารถนำมาใส่แกงได้ด้วย

5. ลูกเกด (RAISINS)

          ลูกเกด คือองุ่นแห้ง มีรูปร่างวงรีเล็ก ๆ สีน้ำตาลหรือดำ           

          คุณประโยชน์

          ใน ลูกเกด โดยเฉพาะลูกเกดสีเข้มนั้นจะมีแอนโทไซยานิน (ANTHOCYANINS) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าหลายเท่า ช่วยลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง  บำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณ ลดความเครียด และลดคลอเรสเตอรอลได้ด้วย

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมากินเปล่า ๆได้เลย หรือจะนำมาเป็นส่วนประกอบของขนมอย่างเค้กหรือไอศกรีมก็ได้

6. ขิง (GINGER ROOT)


          ขิง เป็นพืชล้มลุก มีส่วนเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสค่อนข้างเผ็ด

          คุณประโยชน์

          ขิง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม และวิตามินเอ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้อาการเบื่ออาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่นได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถนำมาคั้นเป็นน้ำดื่ม หรือนำมาเป็นเครื่องเคียงของโจ๊กและแกงอื่น ๆได้

7. ถั่วแดง (KIDNEY BEANS)

          ถั่วแดง เป็นถั่วที่สามารถกินเมล็ดได้ ซึ่งอยู่ในจำพวกเดียวกับถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วลายแและถั่วปากอ้าเป็นต้น

          คุณประโยชน์

          อุดมไปด้วยโปรตีนและคุณค่าทางอาหารสูง สามารถใช้เป็นอาหารลดความอ้วนและอาหารสำหรับผุ้ป่วยเบาหวานได้ดี

          วิธีรับประทาน

          นำมาต้มกินได้ หรือสามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารเช่น หมูอบ ห่อหมกเป็นต้น

8. กาแฟ (COFFEE)

          กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่เมล็ดสกัดนำมาจากต้นกาแฟ โดยถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมมาก

          คุณประโยชน์

          ไฟ เบอร์จากกาแฟสามารถช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้ มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมไปถึงกรดคลอโรจีนิก (CHLOROGENIC)  ที่ช่วยยับยั้งคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีออกไปได้

          วิธีรับประทาน

          สามารถใช้ดื่มได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้าคุณดื่มแบบกาแฟดำจะได้ประโยชน์สูงสุด

 9. ข้าวบาร์เลย์ (BARLEY)
      
          เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง อยู่ในตระกูลเดียวกับข้าว ข้าวโพด และข้าวสาลี

          คุณประโยชน์

          ไฟ เบอร์ในข้าวจะช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังมีโฟเลตและแมงกานีสที่ช่วยบำรุงสมอง

          วิธีรับประทาน

          สามารถทานกับอาหาร กินกับสลัด ทำเป็นซุปและแปรรูปเป็นขนมปังได้

10. ไข่ (EGGS)

          คงไม่มีใครไม่รู้จักไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่ ไข่เป็ด หรือแม้กระทั่งไข่นกกระจอกเทศ

          คุณประโยชน์

          ไข่ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด โดยสามารถป้องกันโรคประสาทตาเสื่อมได้ ป้องกันการจับตัวของเลือด และไข่นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ให้วิตามินดีจากธรรมชาติ

          วิธีรับประทาน

          คุณสามารถนำไข่มาทำอาหารได้หลายแบบ เช่นนำมาทอด นำมาเจียว ผสมกับขนมและอีกมากมาย

          และ นี่ก็คือ 10 อาหารอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ จะเห็นได้ชัดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากแค่ไหน ที่เหลือคุณก็แค่นำมาเลือกทานเพื่อสุขภาพของตัวเองให้ดีที่สุด เพียงเท่านี้คุณก็จะร่างกายแข็งแรง โรคภัยไม่ถามหาแน่นอน