วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลูตาไธโอน" ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้จริงหรือ?


ข้อความเหล่านี้ คือโฆษณาชวนเชื่อที่มีอยู่จริงและมีอยู่มากในเว็บไซต์ ใบปลิว ที่ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณสาร "กลูตาไธโอน" หรือที่วัยรุ่น ชาวมหาวิทยาลัยเรียกสั้นๆ ว่า "สารขาว" ว่ามีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวนวลผ่องเป็นยองใยเหมือนดารา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ

              กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine, Glutamic acid กลูตาไธโอนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ชนิดละลายน้ำได้ที่สำคัญที่ร่างกายสร้าง ขึ้น และเป็นพื้นฐานสำหรับสารแอนติออกซิแดนท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งกลูตาไธโอน เปอร์ออกซิเดส สารประกอบกลูตาไธโอน ช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ ร่างกายของเราจะผลิตมากขึ้นหากได้รับสารพิษเข้าไป เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม สารพิษเหล่านี้จะทำลายเซลล์และระบบของร่างกาย

              ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ แต่ปัจจุบันมีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม อ้างว่าเป็นสารที่ใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว ทำให้มีการนำไปใช้เป็นอาหารผิวเพื่อผิวเนียนขาวใสอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ซึ่งเป็นที่นิยมของดารา นางแบบ นายแบบ

กลูตาไธโอนชนิดฉีด

หน้าที่หลักของกลูตาไธโอนที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ

              1. Detoxification : กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

              2. Antioxidant : กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมหรือความแก่ของเซลล์ (aging) และการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ ต้อกระจก เป็นต้น

              3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูตาไธโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน และ Prostaglandin สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ต้องการให้ผิวเนียน ใส ขาวกระจ่าง เปล่งปลั่ง (เป็นเหตุผลที่เธอเสริมกลูตาไธโอนมากที่สุด)

              โดยปกติ แล้วร่างกายเราจะไม่ขาดกลูตาไธโอน นอกเสียจากจะเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้เกิดความต้องการสารตัวนี้มากขึ้น หรือโรคที่ต้านการสร้าง Glutathione โรคหรืออาการบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารนี้หรือต้องการสารนี้ในปริมาณ เพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคตับ เบาหวาน โรคความดัน ต้อหิน มะเร็ง เอดส์ ฯลฯ ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะพบว่ามีระดับกลูตาไธโอนในเลือดต่ำ เนื่องจากอัตราในการใช้กลูตาไธโอนเพิ่มขึ้น

              พบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากในหน่อไม้ฝรั่ง อะโวกาโด วอลนัท นม ไข่ สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม ปัจจุบันกลูตาไธโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

              ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงใดๆ และไม่มีรายงานความเป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในระยะสั้น หรือระยะยาว ระดับความปลอดภัยจัดเป็น "อาหารเสริม" ไม่ใช่ "สมุนไพร" การผลิตโดยทั่วไปผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ผลข้างเคียงที่มีรายงานคือ การกินปริมาณสูงติดต่อกันจะทำให้ผิวขาวใสเร็วขึ้น

อาหาร 9 อย่าง ที่ไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิด???



        หลาย ๆ คนอาจจะปักใจเชื่อว่า เนย นม ชีส หรือ ช็อกโกแลต เป็นตัวการทำให้อ้วนแน่นอน แต่เราขอบอกว่า จริง ๆ แล้ว คุณสามารถกินของพวกนี้ได้โดยไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิดเลยล่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพ และช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ด้วย        ฮั่นแน่! ชักสนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ อยากจะเอาไปเป็นไอเดียฟิตหุ่นใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบมาเช็กลิสต์ข้างล่างนี้กันโดยด่วนแล้วล่ะ

    1. ขนมปัง      ไม่ได้ทำให้อ้วนอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอกค่ะ เพราะการที่คุณกินขนมปังโฮลวีตแผ่นบาง ๆ สัก 2-3 แผ่น โดยไม่ทาเนย หรือแยม จะช่วยให้อิ่มท้องได้นาน และไม่เกิดอาการหิวอยู่บ่อย ๆ

    2. ช็อกโกแลต      ใครบอกว่ากินช็อกโกแลตแล้วอ้วน ของอย่างนี้มันขึ้นอยู่กับประเภทของช็อกโกแลตแต่ละชนิดต่างหากล่ะ เพราะยังมีช็อกโกแลตที่มีไขมันต่ำอย่าง ดาร์ก ช็อกโกแลต ให้เลือกกินยังไงล่ะ

    3. นมและผลิตภัณฑ์จากนม      จากการศึกษาพบวา คนที่กินโยเกิร์ตไขมันต่ำ และนมพร่องมันเนยจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 22%เลยทีเดียว แถมยังลดไขมันในร่างกายได้ถึง 61% และลดไขมันหน้าท้องได้อีก 81% ภายในระยะเวลาเพียง 12 สัปดาห์เท่านั้น (เห็นไหม น่าสนไหมล่ะ)

    4. อะโวคาโด      ถึงแม้ว่าอะโวคาโดจะมีไขมันสูงก็ตาม แต่ไขมันนั้นก็เป็นชนิด Monounsaturated นะจ๊ะ ซึ่งดีต่อสุขภาพเรามาก ๆ เพราะมีสารต้านแอนตี้ออกซิแดนท์อย่าง Glutathione ซึ่งจะไปบล็อกการดูดซึมไขมันบางตัวที่เป็นต้นเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันริ้วรอย และมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

    5. น้ำตาล      การดื่มชาหวาน ๆ หรือขนมรสหวานจะช่วยระงับความหิวลงได้ แต่จะต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมนะคะ ถ้าไม่อยากให้อ้วน ซึ่ง 1 วัน คุณควรรับน้ำตาลเข้าไปเพียง 4 ช้อนโต๊ะเท่านั้น (ข้อมูลนี้ไม่รวมถึงน้ำตาลที่อยู่ในนมและผลไม้นะจ๊ะ)

    6. มันฝรั่ง      เป็นที่รู้อยู่แล้วว่า มันฝรั่งมีคาร์โบไฮเดรตสูงมาก ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ้วน แต่จริง ๆ แล้วไม่เลยค่ะ กลับทำให้ผอมลงซะอีก เพราะมันจะช่วยทำให้เราอิ่มท้องได้นาน โดยไม่รู้สึกนึกอยากกินจุบกินจิบขึ้นมายังไงล่ะ

    7. ถั่ว      ถึงแม้ว่าถั่วจะมีไขมันอยู่ถึง 50% เลยทีเดียว แต่ไขมันที่ว่านี้มีไขมันเลวผสมอยู่น้อยมาก ๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งกินจึงยิ่งดีต่อสุขภาพ สำหรับปริมาณที่แนะนำใน 1 วัน ไม่ควรกินถั่วเกิน 1 กำมือของตัวคุณเอง ไม่เช่นนั้น ความอ้วนจะถามหาเอาได้ค่ะ

    8. ชีส      จะอ้วนหรือไม่ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่กินต่อวันค่ะ ถ้าคุณเลือกกินชนิด Cheddar หรือ Blue Vein จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพราะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีไขมันสูง แต่ถ้าคุณเลือกกิน Fetta, Ricotta และ Cottage Cheese ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีไขมันต่ำก็ไม่ทำให้อ้วนกันหรอกค่ะ

    9. กล้วย      หลาย ๆ คนเชื่อว่าการกินกล้วยจะยิ่งทำให้อ้วน แต่จริง ๆ แล้วไม่เลยค่ะ เพราะถึงแม้จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงกว่าผลไม้อื่น ๆ ก็ตาม แต่มันมีค่า Glycaemic Index (GI) อยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าต่ำ มีผลให้ระดับอินซูลินโดยรวมต่ำลง ทำให้รู้สึกอิ่มนานและยืดเวลาความอยากอาหารออกไปค่ะ

เคล็ดลับสุขภาพสำหรับคุณผู้ชาย^^



        ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าผู้ชายจำนวนมากเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและรูปลักษณ์ของตัวเองกันมากขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากการออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพดีแล้ว การเสริมหล่อดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน ไม่เฉพาะการประโคมใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเท่านั้น แต่เรื่องของอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณดูเด็กขึ้นได้อีกทางหนึ่ง ส่วนจะมีอาหารชนิดใดกันบ้างนั้น เราไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า  
      1. มะเขือเทศ อุดมไปด้วย "ไลโคปิน (Lycopene)" ซึ่งเป็นธาตุหลักที่บุรุษต้องใช้ งานวิจัยชี้ว่าผู้ชายที่มีไลโคปีนในเลือดต่ำหรือพูดง่าย ๆ ว่าเลือดขาดแคลนไลโคปีน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ชายที่มีไลโคปีนสูง ดังนั้นควรทานมะเขือเทศราชินีสักวันละ 15 ลูก หรือน้ำมะเขือเทศวันละ 2 แก้วก็ได้

      2. วอลนัท บราซิลนัท เมล็ดฟักทอง และหอยทะเล เป็นอาหารที่เต็มไปด้วย "สังกะสี (Zinc)" จะช่วยในเรื่องของการสร้างระบบเซลล์สืบพันธุ์ และทำงานร่วมกันกับเทสโทสเตอโรนฮอร์โมนในผู้ชาย ซึ่งการกินถั่วสักวันละ 1 กำมือ หรือหาวิตามินที่มีแร่ธาตุสังกะสีทานเสริมวันละ 25 มิลลิกรัม ก็นับเป็นสิ่งที่ดี

      3. แตงโม ลูกแดงสีแดงสด แคนตาลูป เมลอน ถั่ว ชีส ปลา ล้วนมี "แอล-อาร์จินีน (L-arginine)" เป็นไวอากร้าจากธรรมชาติช่วยพิฆาตอาการหงอยเหงาเฉารัก เพราะอาจินีนไปช่วยสร้างเคมี "ไนตริกออกไซด์" กระตุ้นหลอดเลือดให้ขยาย จึงทำให้ส่วนสำคัญของร่างกายทำงานได้อย่างที่ควรจะเป็น

      4. กระเทียม เป็นอาหารเตรียมพร้อมสำหรับผู้ชายอย่างแท้จริง เพราะกระเทียมสดหรือบดแห้งใส่แคปซูลมีสารช่วยลดไขมันในหลอดเลือด หากจะรับประทานสด ๆ ก็ขอให้บดละเอียดเพราะจะได้ "อัลลิซิน (Allicin)" ออกมาเยอะมาก ฉะนั้น ผู้ชายที่ชอบรับประทานกระเทียมจะมีสุขภาพดีอย่างแน่นอน

      5. ขมิ้น ช่วยกันตะกรันแก่ในสมองเข้าไปเกาะจนเป็นอัลไซเมอร์ อีกทั้งยังช่วยเรื่องเส้นผม เพราะในขมิ้นชันมี"เคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoid)" อยู่ในสารสีเหลือง ๆ ของมัน การกินขมิ้นชันหรือผงกะหรี่สักสัปดาห์ละ 2 ช้อนโต๊ะถือเป็นปริมาณที่เหมาะสำหรับผู้ชายครับ ใครที่เริ่มรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว ขมิ้นชันจะช่วยลดการอักเสบได้ดีมาก

      6. น้ำมันปลา น้ำมันคริลล์ กะปิ เป็นอาหารพิเศษที่ช่วยเรื่องความจำ ทำให้สายตาดี ไม่มีตาแห้ง ยิ่งในผู้ชายที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา โอเมก้า 3 ที่ได้จากปลาจะเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ช่วยบำรุงข้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ดีมาก อย่างน้อยทานให้ได้ DHA + EPA วันละ 1,000 มิลลิกรัม

      7. ดาร์กช็อกโกแลตและชาเขียว สองสิ่งที่ว่านี้ มีคุณสมบัติคล้ายกันตรงที่ใส่ตะกรันเหนียวของลิ่มเลือดที่มาเกาะ สำหรับประโยชน์ของชาเขียวนั้นช่วยลดความดันและไขมันในร่างกายได้ ส่วนการรับประทานดาร์กช็อกโกแลตจะให้"แมกนีเซียม" แก่ร่างกาย ช่วยบำรุงกระดูกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมี "ฟีนิลอะลานีน" กับ "อนันดาไมด์" เป็นสารที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย

      8. เวย์โปรตีน กินเพื่อสร้างกล้ามเนื้อในร่างกายให้แข็งแกร่ง โดยเน้นเวย์โปรตีนชนิดที่มี "กรดอะมิโนแยกสาขา (Branched Chain Amino Acid – BVAA)" มากหน่อย คิดง่าย ๆ ว่า ที่ใดกล้ามเนื้อดี ที่นั่นย่อมมีสุขภาพดี และถึงแม้คุณจะไม่ใช่ผู้พิสมัยกล้ามนัก แต่ก็ควรหาเวย์โปรตีนมาไว้ทานในช่วงที่อดนอน อ่อนเพลีย เครียดและทานได้น้อยบ้างนะ

      9. ไนอาซิน เป็นวิตามินบี 3 ที่ช่วยลดไขมันในเลือด และทำให้หลอดเลือดขยาย บางท่านที่ซื้อมาทานตอนแรก ๆ จะรู้สึกถึงอาการซู่ซ่า (Flushing) ได้ จึงทำให้มีหลายท่านนำมาใช้ด้วยหวังผลคล้ายไวอากร้า แต่หากไม่ปรารถนาความซู่ซ่าร้อนแรงของไนอาซิน คุณอาจเลือกชนิดนัน-ฟลัช (Non-fush) ที่เรียกว่า "ไนอาซิน อิโนซิทอล (Niacin Inositol)"

      10. ขิง มีสรรพคุณช่วยไล่อาการเจ็บปวดและอักเสบภายในร่างกาย ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีเป็นปกติ ท่านใดที่มักมีอาการคลื่นไส้ พะอืดพะอม เหนื่อยง่าย ถ้าได้ชาขิงอุ่น ๆ มาดื่มสักถ้วย จะช่วยให้สดชื่นขึ้นได้เยอะครับ หรือจะรับประทานขิงในรูปแบบของอาหาร เช่น ปลาผัดขิง หมูผัดขิง หรือของหวานอย่าง เต้าฮวยน้ำขิง บัวลอยน้ำขิง ก็ได้

        อย่าเพิ่งท้อใจนะคพอเห็นรายชื่ออาหารที่ควรรับประทานทั้งหมดแล้ว เนื่องจากอาหารบางชนิดคุณอาจจะไม่ชอบทานสักเท่าไหร่ เพราะหลักสำคัญของการรับประทานอยู่ที่ความ "หลากหลาย" และ "สม่ำเสมอ" คุณไม่จำเป็นต้องทานพร้อมกันหมดทุกอย่างในคราวเดียวกันก็ได้ เอาเป็นว่าค่อย ๆ รับประทานอย่างมีความสุข ปรับทุกกระบวนอาหารให้เหมาะกับตัวเรา เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง รวมทั้งมีใบหน้าและผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกด้วย

เคล็ดลับความงาม^^



      คงไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่าการป้องกันความอับอาย ด้วยการรู้จักโรคที่คาดไม่ถึงในที่ลับ กับวิธีสร้างสุขอนามัยในที่ซ่อนเร้น      1. สายบราที่รัดตึงเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ ไหล่ หลัง คอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อช่วงไหล่ถูกดึงรั้ง จนเลือดบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก

      2. บราไซส์เล็กเกินไป ทำให้เกิดภาวะเครียดต่อระบบกล้ามเนื้อระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรัง

      3. จากการศึกษาเรื่อง Bra and Breast Cancer Study ที่สหรัฐอเมริกา พบว่าการใส่บราที่รัดแน่นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะแรงกดทำให้เกิดการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง และเกิดเป็นก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในเวลาต่อมา

      4. ควรเลือกขนาดของบราให้เหมาะสมกับบรากาวที่เสริมเข้าไป ก่อนใช้ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ให้แห้ง และไม่ควรทาโลชั่น น้ำหอม แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใด ๆ ถึงแม้ศูนย์ Women’s Health Boutique สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการใช้บรากาวปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณเต้านม ควรให้เลิกใช้ทันที หลังใช้ควรทำความสะอาดบราด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับน้ำ ด้านที่เป็นกาว นำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วจึงเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ

      5. การสวมสเตย์รัดหน้าท้องนาน ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรงปวดหลังเป็นประจำ หรือปวดหลังเรื้อรัง เวลานั่ง ยืน หรือเดินอวัยวะภายในช่องท้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากแรงบีบรัดของสเตย์ อวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบขับถ่ายที่ทำให้ท้องผูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือดอุดตัน ทำให้เกิดความเครียด ระบบย่อยอาหารที่เป็นอุปสรรคต่อการย่อย จนเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล

      6. การใส่จีสตริงที่มีขนาดเล็ก หรือสายรัดตึงเกินไป ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้น หรือเกิดการเสียดสีจนอาจเป็นแผลผิวหนังถลอก หรืออักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนักได้ หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ สายของจีสตริงจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียบริเวณรอบทวารหนักชื่อ Gardinerella Vaginalis เป็นเหตุให้แบคทีเรียดังกล่าวแพร่เข้าสู่ช่องคลอด เกิดปัญหาการติดเชื้อ มีอาการตกขาว กลิ่นเหม็น และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ

      7. อย่าใส่ซ้ำ หรือรีบเปลี่ยนชุดชั้นในที่อับชื้นทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อและราที่อาจทำให้เกิดโรคผื่นคันหรือสังคัง ซึ่งเกิดได้ทั้งในผิวหนังบริเวณเร้นลับทั้งของผู้ชายและผู้หญิง สาเหตุของสังคังเกิดจากเชื้อราลุกลามเป็นวงกว้าง ในเซลล์ที่ตายแล้วบริเวณขาหนีบซึ่งเป็นมุมอับ เมื่ออากาศระบายเข้า-ออกไม่ดีทำให้เกิดการหมักหมม เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการคันบริเวณขาหนีบ ให้รีบไปหาหมอเพื่อทำการรักษา การป้องกัน และการรักษาที่ดีที่สุดคือ รักษาความสะอาดของร่างกายโดยอาบน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเช็ดตัวให้แห้ง อย่าให้ร่างกายมีความอับชื้นโดยเฉพาะที่ขาหนีบ

      8. ควรหมั่นทำความสะอาดชุดชั้นในให้ปลอดเชื้อราเสมอ ๆ เริ่มจากแยกชุดชั้นในออกจากชุดชั้นนอกและแยกสีเข้ม สีอ่อน ซักด้วยน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกละลายในน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้สารฟอกขาวทุกชนิด ไม่ควรขยี้หรือใช้แปรงขัดชุดชั้นในแรง ๆ (โดยเฉพาะยกทรง) เพราะจะทำให้เสียรูปทรงได้ง่าย ในบริเวณที่มีคราบสกปรกให้ใช้แปรงขนนุ่ม ๆ ถูเบาๆ ให้สะอาด จากนั้นให้ล้างชุดชั้นในด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง ไม่ควรบิดยกทรงโดยเฉพาะแบบมีโครง ควรบีบเบา ๆ เพื่อให้น้ำออก ตากในที่ร่ม มีลมโกรก ไม่ควรตากชุดชั้นในทุกชนิดให้ถูกแสงแดดโดยตรงเพราะจะทำให้เนื้อผ้าและสีเสื่อมสภาพเร็ว

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผิวสวยจากส้ม^^


เคล็ดไม่ลับผิวสวยจากส้ม

      
เคล็ดไม่ลับผิวสวยจากส้ม  

                ส้มเขียวหวานเป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีวิตามินเอสูงมาก ตามด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย ...ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสร้าง คอลลาเจนช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นครับ
 

            นอกจากนั้นส้มเขียวหวานยังช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ในเปลือกผิวส้มมีน้ำมันหอมระเหยช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ และยังมีสารสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant ) เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวเกลี้ยงเกลา และสดชื่น ขจัดความหมองคล้ำ และชะลอการเกิดริ้วรอย นิยมกินผลสด นำมาทำเป็นเครื่องดื่ม และเป็นส่วนผสมในการบำรุงภายนอก


            ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบตาแคโรทีน 82 ไมโครกรัมและวิตามินซี 42 มิลลิกรัม จึงใช้รักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ที่สำคัญอีกทานส้มช่วยให้ผิวพรรณสดใสชะลอการเกิดริ้วรอย ได้อีกด้วย วันนี้ก็แวะซื้อส้มทานก่อนกลับบ้านกันนะครับ  

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

น้ำมันมะพร้าว กับความงามและสุขภาพน่ารู้^^


ปัจจุบันน้ำมันมะพร้าวเป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติในตัว สามารถสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้มากมาย และในงาน "มติชน เฮลท์แคร์ 2012" ที่เพิ่งปิดฉากไป น้ำมันมะพร้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดเสวนา “บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพและความงาม” โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย มาให้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว

ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา

มนุษย์ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหาร เป็นยา เป็นเครื่องสำอางมาเป็นพันๆ ปี  มีบันทึกไว้ว่า ในประเทศอินเดียใช้น้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลากว่า 4,000 ปีแล้ว

สำหรับประเทศไทย ปลูกมะพร้าวมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่อ 700 กว่าปีก่อน  สกัดน้ำมันมะพร้าวมาประกอบอาหารหวานคาว ใช้เป็นสมุนไพร และเครื่องสำอาง

จากการศึกษาและทดลองพบว่าน้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลก ที่มี“กรดลอริก” อยู่ในปริมาณที่สูงมาก (48-53เปอร์เซ็นต์) และกรดชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและพิเศษกว่าน้ำมันพืชอื่นๆ ในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์

  
     

เมื่อร่างกายรับ “กรดลอริก” นี้เข้า จะเปลี่ยนเป็น “โมโนลอริน” ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมน้ำเหลืองของมารดา โมโนลอรินช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค โดยทำหน้าที่เป็นสารปฏิชีวนะ และเป็นสารฆ่าไวรัส แบคทีเรีย รา ยีสต์ โปรโตซัว  รวมทั้งเชื้อที่ก่อให้หลอดเลือดแข็งตัว

สารปฏิชีวนะในน้ำมันมะพร้าว ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ และจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์ เมื่อบริโภคอาหารที่มีกรดลอริก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้


 

ชนชาติที่ได้รับการยกย่องว่า มีรูปร่างสมส่วน มีผิวและผมสวยที่สุดในโลก คือชาวเกาะตาอิติ รวมทั้งชาวเกาะทะเลใต้อื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ก็เพราะชาวเกาะเหล่านี้ บริโภคมะพร้าวและใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมตัวและผม ทำให้ผิวไม่แตกแห้งเป็นกระ แต่ชุ่มชื้นและเนียน ส่วนผมก็สลวย ดกดำเป็นเงางาม ทั้งๆ ที่ชาวเกาะเหล่านี้ ทั้งชายและหญิง ดำน้ำทะเล จับสัตว์น้ำ และเก็บปะการัง ถูกแดดแผดเผาร่างการตลอดทั้งวัน
น้ำมันมะพร้าวยังอุดมด้วยวิตามินอีที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ตัวการทำให้เกิดความเสื่อมของเซลผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณเยาว์วัย เนียนนุ่ม ไม่เกิดฝ้า กระ อีกทั้งไม่เป็นโรคทางผิวหนัง
 
มีสารปฏิชีวนะต่อต้านเชื้อโรค ทำให้ไม่มีรังแค และมีวิตามินอีทำให้หนังศีรษะไม่เหี่ยวย่น นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวซึมเข้าไปในเส้นผมได้ดี ช่วยยืดอายุโปรตีนของเส้นผมด้วย


จะเห็นได้ว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายแง่มุม ทำให้ร่างกายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

14 เคล็ดลับคงความหนุ่มสาวตลอดไป :))


 1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆ ต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว

          สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1 - 2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุด คือ ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล

          2. กินหลากแหล่ง เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

          3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

          4. ลดคาเฟอีน ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ

          ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

          5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

          6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

          7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30 - 45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

          8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง

          นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

          9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้ บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

          10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ เซอร์โคเนียม (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

          11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

          12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป
 
          13. กินวิตามิน  วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด
          14. เสริมฮอร์โมน  ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ 

   ที่มา: รพ.กรุงเทพ และ วิชาการดอทคอม

ผลไม้ชลอความแก่และเสริมความงาม^^

 

         การวิจัยทางวิทยาศาสตร์โภชนาการพบว่า เบต้าแคโรทีน 
วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม สามารถต้านความชราภาพได้ด้วย แอนติออกซิแดนท์เหล่านี้ช่วยป้องกัน
และลดความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจาก ปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ (free 
radicals) ธำรงความแข็งแรงของระบบเซลล์ไว้ได้นาน ดังนี้ ผลไม้ที่สารต้านอนุมุลอิสราจึง
ช่วยชะลอความแก่ ผลไม้ยังช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง ก็เท่ากับรักษาระบบภูมิต้านทานให้ไม่ต้อง
ถูกใช้งานหนัก ก็เท่ากับช่วยชะลอความแก่ไปโดยปริยาย คนกินผลไม้มาก ๆจะเห็นผลทันตา ผิวหนังจะ
เต่งตึงความเหี่ยวย่นจะปลาสนาการไป รูปหน้าที่สวยจริงก็จะปรากฎไม่ถูกบดบังทำอัปลักษณ์ใบหน้ากาง
ด้วยน้ำและไขมัน รอยย่นจะบางเบา นัยน์ตาจะใสและแจ่มจรัส ผลไม้มิได้ชะลอความแก่แต่ระดับผิว (เผิน) เท่านั้น เพราะผิวเป็นเพียงตัวบ่งบอกสุขภาพคนกินผลไม้มากจะมีโคเลสเตอรอลพอเหมาะ ความ
ดันโลหิตพอดี ตับไตแข็งแรง ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกโดยตรงต่อผิวพรรณดังนั้น สุขภาพ ผิวพรรณ ความงามและการชะลอความแก่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก นอกจากนั้น วิตามินซีและวิตามินเอยังช่วยให้ผิดเต่งตึงมีน้ำมีนวลโตยตรงอีกโสตหนึ่งด้วย ผลไม้ช่วยรักษาอาการเสื่อยสภาพบางอย่างอันเนื่องมาจากวัยได้ เช่น กินผลไม้ช่วยในสมรรถภาพพทางเพศไม่เสื่อมเร็ว ช่วยป้องกันอาการหลงลืมตามวัย เป็นต้น ในด้านสุขภาพผู้หญิง มีรายงานว่าวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) ในผลไม้ตะกูลส้ม (ที่ใส้หรือแกนของกลีบผล) ช่วยลดการเสียเลือดประจำเดือนให้น้อยและสั้นลงจนไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กลอนดีดี จากหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่ง อยากให้ทุกคนได้อ่าน^^

วันเกิดเราก็คล้ายวันตายแม่..

อุ้มท้องแก่กว่าจะคลอดรอดหลุดพ้น..


จากเด็กน้อยจนเติบใหญ่ได้เป็นคน..


เติบโตจนถึงวันนี้มีเพราะโคร..







แม้เจ็บจวนขาดใจในวันนั้น..


กลับเป็นวันลูกเฉลองกันผ่องใส..



ได้ชีวิตแล้วก็หลงระเริงใจ..


ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา..





ทำไมเราเข้าใจว่าวันเกิด..

เปลี่ยนเป็นวันผู้ให้กำเนิดจะดีกว่า..


สิ่งอวยพรที่สลอนหน้ากันมา..


ควรจะมอบใฟ้มารดาผู้มีพระคุณ

..


เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดเรา..




ดีที่สุดควรคุกเข่ากรบเท้าแม่..


ลำลึกถึงผู้มีคุณอบอุ่นแด..

อย่ามัวแต่จัดงานประจานตน..



พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโต)

ลด 9 กิโลกรัม เป็นไปได้ ใน 3-4 สัปดาห์^^

ถ้าคุณมีงานสำคัญหรือโอกาสพิเศษรออยู่ และอยากลดน้ำหนักให้ผอมเพรียวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลองวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ดูสิ




 


กินวันละ 4 มื้อ
การกินมื้อเล็ก ๆ ย่อยเป็น 4 มื้อ จะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญ และช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้คุณรู้สึกหิวน้อยลงด้วย เมื่อคุณกิน 4 มื้อย่อย ๆ แต่อย่าลืมเลือกอาหารสุขภาพแคลอรีต่ำด้วย โดยเน้นผักและผลไม้สด ๆ ที่จะมีแคลอรีต่ำกว่าผักและผลไม้ที่นำไปปรุงสุก
ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ 
น้ำช่วยชะล้างระบบภายในร่างกาย และยังช่วยควบคุม ลดความรู้สึกปวดท้องเวลาหิวและรักษาระดับน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายไว้ ดื่มน้ำหนึ่งแก้วในตอนเช้า พร้อมยาที่ช่วยเผาผลาญไขมันก่อนหรือพร้อมกับอาหารมื้อแรกและตอนเย็นด้วย เมื่อคุณกินน้อยลง คุณสามารถทดแทนแคลอรีด้วยวิตามินรวม หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที
จะยิ่งเห็นผลดียิ่งขึ้นเมื่อคุณทำดีท็อกซ์ไดเอ็ตร่วมด้วย เพื่อล้างพิษในร่างกายไปด้วยในตัว ที่เริ่มทำได้ง่าย ๆ โดยการกินแต่ผักหรือผลไม้สดตลอดทั้งวัน ก็ถือเป็นการดีท็อกซ์ได้ทางหนึ่ง


ควบคุมน้ำหนักรายสัปดาห์
หลายคนอาจสงสัยว่าในหนึ่งสัปดาห์ เราจะสามารถเพิ่ม-ลดน้ำหนักได้มากเท่าไหร่ และควรลดเท่าใดจึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
- อัตราน้ำหนักที่ลดลงในหนึ่งสัปดาห์ ควรอยู่ที่หนึ่งกิโลกรัม และไม่มากไปกว่านี้สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักทั่วไป
- คนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน จำกัดให้อยู่ที่ 1–1.5 กิโลกรัม
- คนที่จัดอยู่ในขั้นน้ำหนักเกินมาก ๆ ควรอยู่ที่ 1.5-2.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ส่วน
- ผู้มีน้ำหนักตัวน้อย หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก ควรให้เป็นไปอย่างช้า ๆ และอยู่ในอัตราที่สม่ำเสมอ ซึ่งก็คือประมาณหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์