วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

SPF คืออะไร อยากรู้มั้ย ???


SPF คืออะไร


SPF คืออะไร
ผลิตภัณฑ์ยากันแดดส่วนใหญ่จะระบุค่า SPF (Sun Protection Factor) หรือแปลเป็นไทยว่า ค่าการป้องกันแสงแดด ถ้าเคยตากแดดแล้วผิวไหม้แดง ในเวลา 15 นาที หากทายากันแดดที่มี SPF= 6 ผิวจะไหม้ในเวลาเป็น 6 เท่าคือ 90 นาที (6x15=90) ถ้าค่า SPF= 8 ผิวจะไหม้ในเวลา 2 ชั่วโมง (8x15=120)
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีคำนิยามใหม่ของค่า SPF (Sun Protection Factor) โดยใช้สูตรสำหรับหาค่า SPF คือ
SPF = MED บริเวณที่ทายากันแดด / MED บริเวณที่ไม่ได้ทายากันแดด
โดย MED นั้นย่อมาจาก minimal erythematous dose คือ ปริมาณแสงแดดที่น้อยที่สุด ที่ทำให้เกิดอาการแดงที่ผิวหนัง ซึ่งอาการแดงนั้นเป็นจุดที่สังเกตเห็นด้วยตา มีการศึกษาพบว่า ปริมาณแรงที่เป็น suberythemal dose (คือปริมาณแสงที่ยังน้อยกว่าจะทำให้เกิดอาการแดง) ก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนังและมีการทำลายเซลล์ของผิวหนังเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นในอนาคตอาจต้องมีวิธีที่จะวัดการทำลายผิวหนังของแสงแดดที่ดีกว่าอาการแดง เช่น การดูลักษณะของเซลล์ผิวหนังที่เปลี่ยนไปจากการไหม้แดด (sunburncell) การดูลักษณะของเส้นใยอิลาสตินที่เปลี่ยนรูปร่าง การลดลงของจำนวน Langerhans cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทาน เพื่อหาประสิทธิภาะของการกันแดด
โดยที่ปริมาณของยากันแดดที่เป็นมาตรฐานในการหาค่า SPF นั้น ต้องทายากันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัม ต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตร ดังนั้นหากปริมาณแสงแดดที่จะทำให้บริเวณที่ทายากันแดดนั้นเกิดอาการแดง มีปริมาณมากกว่าบริเวณที่ไม่ได้ทายากันแดด 5 เท่า ยากันแดดนั้นก็จะมีค่า SPF 5 ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นจะแปลว่าปริมาณแสงเป็นเวลาแทน
ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า 
1. การใช้ค่า MED นี้ อาจไม่สะท้อนถึงประสิทธิภาพภายในการป้องกันผิวหนัง จากการทำลายของแสงแดด นั่นคือยากันแดดถึงจะป้องกันไม่ให้ผิวหนังแดงได้ แต่ก็ยังอาจเกิดการเสื่อมของผิวหนังขึ้นแล้ว
2. ปริมาณของการใช้ยากันแดดในการหาค่ามาตรฐาน คือ ต้องทายากันแดด 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรนั้น นับว่ามากกว่าปริมาณการใช้ในชีวิตจริง คนปกติจะทายากันแดดแค่ 0.5 ถึง 1 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ทั้งนี้เพราะ หากทายากันแดดมากไปจะเกิดปัญหาด้านความมันและความสวยงาม
สำหรับยากันแดดชนิดที่ละลายน้ำได้น้อยนั้น มีชื่อคือ 
Water resistant หมายถึงการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 40 นาที 
Waterproof (=very water resistant) หมายถึงการหาค่า SPF หลังอยู่ในน้ำ 80 นาที
โดยการใช้ยากันแดดตามค่า SPF นี้มักดูตามลักษณะของสีผิวคือ 
1. ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนยาก ใช้ค่า SPF 20-30 (Ultra high) 
2. ถ้าผิวไหม้แดดง่าย โดยผิวอาจมีสีแทนนิดหน่อย ใช่ค่า SPF 12-20 (Very high) 
3. ถ้าผิวไหม้แดดปานกลาง และผิวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแทนใช้ค่า SPF 8-12 (High) 
4. ถ้าผิวไหม้แดดได้น้อย และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้เสมอ ใช่ค่า SPF 4-8 (Moderate) 
5. ถ้าผิวไหม้แดดยากมาก และผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนได้อย่างมาก ใช้ค่า SPF 2-4 (Minimal) 
ถ้าดูตามนี้จริงๆ แล้ว อย่างผมซึ่งน่าจะจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ 5 คือโดนแดดอย่างไร ก็ไม่ไหม้เสียที จะมีก็แต่ผิวคล้ำดำปี๋ ก็ควรจะใช้ SPF แค่ 2-4 เท่านั้นเอง

เมื่อดูจากค่า SPF และปริมาณการดูดซับรังสียูวีบี พบว่า 
ค่า SPF เท่ากับ 2 จะดูดซับ UVB ได้ 50% 
ค่า SPF เท่ากับ 4 จะดูดซับ UVB ได้ 75% 
ค่า SPF เท่ากับ 8 จะดูดซับ UVB ได้ 87.5% 
ค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3% 
ค่า SPF เท่ากับ 20 จะดูดซับ UVB ได้ 95% 
ค่า SPF เท่ากับ 30 จะดูดซับ UVB ได้ 96.7% 
ค่า SPF เท่ากับ 45 จะดูดซับ UVB ได้ 97.8% 
ค่า SPF เท่ากับ 50 จะดูดซับ UVB ได้ 98%

เมื่อดูตามนี้จะเห็นว่า เมื่อใช้ยากันแดดค่า SPF เท่ากับ 15 จะดูดซับ UVB ได้ 93.3% ซึ่งเมื่อเพิ่ม SPF ขึ้นจะเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นไม่มากนัก และยากันแดดที่มีค่า SPF สูงมักมีปัญหาด้านความงามและมีราคาแพง จากมุมมองนี้อาจไม่จำเป็นต้องใช้ SPF สูงนัก
แต่ก็มีปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปได้และมีผลต่อการออกฤทธิ์ของยากันแดด เช่น การทา การสวมใส่เสื้อผ้า การมีเหงื่อออก ลม เหงื่อ การว่ายน้ำ ฯลฯ และมีความจริงที่ว่า ยากันแดดที่มีค่า SPF สูงนั้น จะมีประสิทธิภาพในการกันแสงแดดในช่วงยูวีเอ โดยเฉพาะยูวีเอ II ที่ดีขึ้น ซึ่งรังสีตัวนี้ทำให้เกิดการเสื่อมของผิวหนังได้มาก นอกจากนั้นการหาค่า SPF จะเป็นการหาค่าในห้องทดลอง ซึ่งเมื่อนำยากันแดด มาใช้ในชีวิตจริงจะพบว่ามีค่า SPF น้อยกว่าที่ระบุเสมอ ทั้งนี้เพราะมีปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง
จึงแนะนำว่าควรใช้ยากันแดดค่า SPF สูง (15 ขึ้นไป) ในกรณีที่ต้องตากแดด เป็นเวลานานติดต่อกันและใช้ค่า SPF ต่ำ ในกรณีที่โดนแดดเป็นครั้งคราวระหว่างวันครับ สำหรับข้อมูลนี้ส่วนหนึ่งมาจากการประชุมของสมาคมศิษย์เก่าสถาบันโรคผิวหนัง โดยมีอาจารย์จิโรจ สินธวานนท์ เป็นผู้บรรยาย

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ดูเต่งตึงขึ้นได้ ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ






ดูเต่งตึงขึ้นได้ ไม่ต้องพึ่งมีดหมอ How to look younger without Plastic Surgery (Healthplus)


          หญิงสาวหลายล้านคนต้องพึ่งมีดหมอ เพื่อชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าหรือช่วยในการดึงหน้า แต่การพึ่งศัลยกรรมความงามก็หาใช้ทางออกเพียงอย่างเดียว ยังมีวิธีธรรมชาติอีกมากมายที่จะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์และสวยขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง



 อยากให้ก้นกลมกลึงได้รูป


          "ทำไมนะก้นฉันถึงดูใหญ่ขนาดนี้" คุณถามคำถามนี้กับตัวเองบ่อยแค่ไหน? เอาเป็นว่าเราไม่ต้องการคำตอบที่แท้จริงจากปากคุณ ถามผู้หญิงส่วนใหญ่ดูสิว่า อะไรในร่างกายที่พวกเธอไม่ชอบ เชื่อเถอะก้นต้องติดอยู่ในอันดับกลางๆ ไปถึงอันดับต้นๆ เมื่อค่านิยมมองว่าก้นเล็กเพอร์เฟ็กต์ เลยกลายเป็นว่าผู้หญิงส่วนใหญ่มีก้นสะบึมแล้วจะทำอย่างไรให้ก้นดูกลมกลึง? ถ้าเป็นวิธีทางศัลยกรรมโดยมากจะใช้การดูดไขมันเพื่อเอาไขมันส่วนเกินออก ทำให้ก้นได้รูปสวยขึ้น หรือใช้วิธีดึงก้น หลายคนพบว่า 2 วิธีนี้ได้ผลดีแต่จะทำให้ปวดระบม เกิดเป็นแผลเนื่องจากการสอดท่อเข้าไปดูดไขมัน ผลลัพธ์ภายหลังจากเสร็จเสิ้นกระบวนการคือ อาการเจ็บปวด รอยถลอกและบวมซึ่งยากต่อการรักษา และไขมันก็มักย้อยกลับมาใหม่ถ้าไม่แก้นิสัยการกินที่ไม่ดี


           อะไรคือทางเลือก?

          การออกกำลังจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงกระชับได้สัดส่วน หนึ่งในวิธีการง่ายๆ คือเดินขึ้นลงบันไดอย่างน้อยวันละ 2 รอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
          ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ใช้แปรงขัดตัวและผลิตภัณฑ์ขจัดเซลลูไลต์ที่มีเฟนเนล (fennel) เป็นส่วนประกอบเพื่อทำให้รูปร่างกระชับและหุ่นดี

           ออกกำลังกายให้ก้นกระชับ

          นี่คือท่าง่ายๆ ที่ช่วยให้ก้นกระชับกลมกลึง เริ่มจากนอนคว่ำ วางศีรษะบนมือ งอข้อเข่าและข้อเท้า 90 องศา ยกเข่าขึ้นให้สูงจากพื้น 4 นิ้ว พร้อมเกร็งกล้ามเนื้อหลัง สะโพกประมาณ 10 นาที ก่อนวางเท้าลงทำเช่นเดียวกันนี้กับเท่าอีกข้าง

           ทดลอง

          ไอโอโนเธอร์มี่ ชีค ลิฟต์ (lonothermie Cheek Lift) ว่ากันว่า : เป็นทรีตเม้นต์ยกกระชับก้นโดยนวดด้วยโลชั่นพิเศษที่จะเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันในร่างกายแตกตัว ก่อนจะเริ่มต้นยกกระชับก้น จากนั่นพอกด้วยโคลนจากบ่อน้ำพุร้อนและแอลจี (algae) ซึ่งเป็นพืชไร้ดอกชนิดหนึ่ง ก่อนจะกระตุ้นด้วยกระแสไฟอ่อนๆ ซึ่งกระแสไฟดังกล่าวจะเข้าไปยกกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและก้น ผลลัพธ์ที่ได้คือก้นดูกลมกลึงและงอนกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

          สรุปว่า : "หลังเข้ารับการทรีตเม้นต์เพื่อให้ก้นเด้งดึ๋งด้วยวิธีนี้พบว่า เป็นวิธีนุ่มนวลไม่เจ็บปวด เริ่มจากการขัดผิดให้ทั่วตัว ชโลมมอยส์เจอไรเซอร์ นวดสักพัก ซึ่งทำฉันรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนจะตามด้วยการทาโลชั่น เพื่อให้ไขมันแตกตัวและทำให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นอีกเป็นสองเท่า


          หลังจากเตรียมพร้อมร่างกายแล้ว ขั้นต่อไปคือการพอกโคลนจากบ่อน้ำพุร้อนและกระตุ้นไฟฟ้าที่ก้นและต้นขา ตามด้วยหน้าท้องอีก 2 จุด ฉันรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูกขณะที่กระแสไฟอ่อนๆ ไหลผ่านเข้าไป วิธีนี้จะทำให้ก้นและต้นขากระชับขึ้น ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วเจ้าหน้าที่บำบัดก็เข้ามาเพิ่มปริมาณกระแสไฟ ใช้เวลาอีก 10 นาทีเพื่อให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น ความรู้สึกที่ได้รับค่อนข้างแปลก รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย แม้ว่าฉันจะคุ้นชินกับความรู้สึกแปล๊บๆ ของกระแสไฟและอาการเกร็งของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ


          แม้ตอนแรกจะไม่มั่นใจ แต่ฉันคิดว่ามันได้ผล ผิวของฉันเนียนเรียบกระจ่างใสขึ้น ก้นของฉันกลมกลึงกระชับได้รูป หย่อนคล้อยน้อยลง ทรีตเม้นต์นี้จะเห็นผลอยู่ประมาณ 2-3 วัน ฉันว่ามันค่อนข้างได้ผลดี แม้จะสู้การออกกำลังกายไม่ได้ แต่ก็เป็นวิธีที่เห็นผลอย่างรวดเร็ว"


 อยากมีหน้าอกอิ๋ม

          นอกจากธรรมชาติเป็นตัวกำหนดแล้ว ปัจจัยอื่นๆ เช่นน้ำหนักที่แปรผัน หรืออยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ มีประจำเดือน และการรับประทานยาคุมกำเนิดล้วนแต่มีผลต่อขนาดของหน้าอก การผ่าตัดเสริมหน้าอกเป็นศัลยกรรมความงามรูปแบบหนึ่งที่รู้จักกันดี แต่ก็ไม่จัดเป็นทางเลือกที่ดีที่ควรทำ เพราะซิลิโคนที่ใสเข้าไปทำให้เต้านมเคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติ จะดูแข็ง ใส่แล้วโอกาสเอาซิลิโคนออกก็ทำได้ยาก การเสริมอึ๋มด้วยวิธีนี้จะก่อนให้เปิดแผลเป็น

           อะไรคือทางเลือก?

          การเลือกยกทรงที่เหมาะสมช่วยให้หน้าอกกระชับอวบอิ่มเป็นธรรมชาติ แถมยังช่วยให้ดูใหญ่ขึ้น จึงควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวัดขนาดให้ถูกต้อง สวมสปอร์ตบราทุกครั้งที่ออกกำลังกาย การบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกจะช่วยให้ทรวงอกกระชับตึงและหน้าอกใหญ่ขึ้นได้ จงวิดพื้นเป็นประจำ แม้ว่าจะทำยากก็ตาม

          - ตบตา เสริมอึ๋มด้วยการใส่ยกทรงที่เสริมด้วยแผ่นซิลิโคนหรือมีถุงเจลสอดอยู่ข้างในซึ่งจะทำให้ร่องอกที่ห่างเบียดกระชับเข้าหากันช่วยให้หน้าอกดูใหญ่ขึ้น


          - ใช้ดรัมเบลล์ การบริหารท่านี้จะทำให้กล้ามเนื้อหน้าอกกระชับมากขึ้น นั่งตัวตรง มือถือดรัมเบลล์น้ำหนักพอเหมาะ กางแขนระดับไหล่ จากนั่นดึงแขนให้ชิดกันแล้วกางออก ทำซ้ำเช่นนี้ 12-20 ครั้ง


          - วิดพื้น การวิดพื้นหากกระทำเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อทรวงอกแข็งแรง เริ่มจากทำท่าคุกเข่า กางมือออกให้กว้างกว่าไหล่เล็กน้อย งอข้อศอกพร้อมกับให้ทรวงอกลงใกล้พื้น ดันตัวขึ้นเพื่อให้ข้อศอกตั้งตรง กลับสู่ท่าเดิม ทำซ้ำ 12-20 ครั้ง


          - ผลักแขน ยืนตรงข้อศอกไปด้านข้างระดับอกขนานกับพื้น นิ้วมือเหนียดชิดกันผลักข้อศอกไปข้างหลังให้มากที่สุด เท่าที่ทำได้อย่างคล่องแคล่ว จากนั่นกลับมาที่ท่าเริ่มต้นและทำซ้ำกี่ครั้งก็ได้แต่ต้องรักษาระดับของแขนเอาไว้ให้ดี


          - จับแขนดันข้อศอก ยืนตัวตรงพับแขนมาด้านหน้าระดับอกขนานกับพื้น ข้อศอกชี้ไปด้านข้าง มือซ้ายจับเหนือข้อมือขวา ส่วนมือขวาจับเหนือข้อมือซ้าย จากนั้นจับแขนให้แน่นพร้อมกับดันข้อศอกไปด้านข้างโดยพยายามนึกว่ากำลังดึงแขนให้แยกจากกัน ค้างท่านี้ไว้ประมาณ 2-3 วินาที แล้วจึงคลายมือและผ่อนแรงแขน ทำท่านี้ซ้ำอีก 2-3 ครั้ง


           สวยได้ทันใจ!

          อยากมีต้นขาเพรียากระชับลืมการดูดไขมันไปเลย หันมาสวมกางเกงยกกระชับ กางเกงชนิดนี้จะช่วยรั้งด้านในและนอก ต้นขาให้ดูเพรียวกระชับ และยังมีอีลาสติกที่ช่วยให้หน้าท้องสะโพก และก้นได้รูปทรง เป็นกางเกงไร้ตะเข็บให้เลือกทั้งสีดำ สีขาว และสีเสื้อ หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อยากให้ใบหน้าและลำคอไร้รอยย่นลืมการดึงหน้าไปได้เลย หันมาออกกำลังกายดีกว่า 

           ออกกำลังกายด้วยวิธีง่ายๆ ต่อไปนี้เริ่มจาก


          - ตั้งศีรษะตรง เกร็งกล้ามเนื้อคอ ยืดคอขึ้นช้าๆ แล้วหดคอกลับที่เดิม


          - วางมือข้างหนึ่งบนหน้าผาก ดันศีรษะไปด้านหน้าโดยให้มือที่วางบนหน้าผากค่อยต้านเบาๆ จากนั้นวางมือทั้งสองข้างไว้หลังศีรษะและดันไปด้านหลัง


 อยากให้มือเนียนนุ่ม ลืมวิธีลอกผิวด้วยสารเคมี ใช้แฮนด์ครีมบำรุงดีกว่า

          ใช้แฮนด์ครีมที่มีส่วนผสมของสารบำรุงผิวจำพวกโรส ออฟ เจริโค (rose of jericho) หรือที่รู้จักดีว่า "พืชที่มีสรรพคุณฟื้นฟู" เนื่องจากสามารถคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิวอันเกิดจากสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยง รวมถึงสาร scutellaria ซึ่งช่วยลดรอยกระและจุดด่างดำ

 อยากให้หน้าเต่งตึง

          คุณสามารถตบตาให้หน้าอกดูใหญ่ขึ้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่โชว์ถึงประสบการณ์ชีวิตของคุณกลับอยู่บนใบหน้า ขณะที่คนมีเงินก็อาจเลือกการรีดรอยย่นด้วยการฉีดโปท็อกซ์ หลายคนไม่เชื่อว่าการฉีดยาบนใบหน้าเป็นอันตราย คนเหล่านี้เชื่อว่านี้เป็นวิธีปลอดภัยที่จะกำจัดริ้วรอยแห่งกาลเวลา แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่ชอบใบหน้าที่ดูแข็งตึงอันเป็นผลจากการฉีดโบท็อกซ์

           อะไรคือทางเลือก?

          วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ดูอ่อนเยาว์ คือการปกป้องผิวจากศัตรูร้าย 3 ประการได้แก่บุหรี่ แสงแดด และการใช้ชีวิตที่ทำลายสุขภาพ หากต้องการมีผิวดีควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

          ทาครีมกันแดดที่มี SPF 15 เป็นอย่างน้อยทุกครั้ง แม้จะเป็นช่วงหน้าหนาว อย่าสูบบุหรี่ ลดอาหารจำพวกน้ำตาล เรื่องดื่ม แอลกอฮอล์ และอาหารสำเร็จรูป ดี่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นเช่น อโวคาโด ถั่วเปลือกแข็งต่าง ๆ และน้ำมันปลา ผลไม้และผักเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อผิดวพรรณที่ดี เนื่องจากสารแอนดตี้ออกซิแดนท์ช่วยต้านริ้วรอย


          ถ้าวิธีดูแลสุขภาพเหล่านี้เห็นผลช้าเกินไปสำหรับคุณ ก็ยังมีวิธีการมากมายที่จะให้กำลังใจตัวเอง คุณต้องอยู่ด้วยวามเชื่อมั่นเพื่อรอผลลัพธ์ และจำไว้ว่าการฉีดโบท็อกซ์ต้องทำซ้ำทุก 3-6 เดือน เข็มหนึ่งราคาแพงเอาการ วิธีธรรมชาติถูกกว่าและดีต่อตัวคุณมากกว่า


          น้ำมันกุหลาบช่วยคืนความชุมชื้นและบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม การใช้เซรั่มยกระชับและการมาส์กหน้าช่วยให้ดูหน้าเต่งตึงและกระชับรูขุมขน เลือกผลิตภัณฑ์ยกกระชับที่มีส่วนผสมของนมผึ้งและถั่วเหลืองจะช่วยให้หน้าเด้งขึ้นได้ภายในเวลาไม่นาน


          ทดลอง ไอออนโซม แอคทีฟ วิตามิน เฟเชียล ทรีตเม้นต์ (The lonzyme Active Vitamin Facial Treatment)


          ว่ากันว่า ดร.เดส เฟอร์นาสเดส ศัลยแพทย์พลาสติกจากแอฟริกาใต้ผู้ก่อตั้ง Eviron Skincare ไอออนโซมเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ต้านริ้วรอยซึมซาบเข้าสู่ผิว ไอออนโซมช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ดูอิ่มเอิบ เพิ่คอลลาเจนและคืนความยืดหยุ่นให้ผิว เหมาะสำหรับผิวที่บอบบาง โดยเฉพาะผิวที่มีแผลเป็นและริ้วรอย ผิวเสียเนื่องจากถูกแดดทำลาย


           สรุปว่า : "หลังการทำความสะอาดและนวดหน้า ผิวของฉันก็ถูกพอกด้วยวิตามินซีแอนตี้ออกซิแดนท์เป็นชั้นหนา จากนั้นใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ความถี่ต่ำนวดทั่วใบหน้าซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนมาอะไรมาตำที่หน้า เสร็จแล้วใช้ผ้าก็อซทับบนผิวก่อนที่จะพอกหน้าด้วยวิตามินเอ เป็นชั้นหน้าๆ เพื่อคืนความชุ่มชื่นและต่อต้านริ้วรอย ขั้นต่อไปคือใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้ครีมซึมลึกเข้าสู่โครงสร้างผิว ตอนแรกฉันมองเห็นเปลวไฟแลบออกมาซึ่งทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจพอสมควร ฉันนอนอย่างนั้นเป็นเวลา 20 นาที แทบไม่น่าเชื่อในความมหัศจรรย์ของมัน ผลลัพธ์ที่ได้ยอดเยี่ยมมากฉันรู้สึกว่าผิวนุ่มขึ้น เนียนใสและกระชับ ริ้วรอยต่างๆ ดูจางลง"


 อยากให้ถุงใต้ตาหายไป

          การมีถุงใต้ตามักเป็นกรรมพันธุ์ แต่ก็มีหลายวิธีที่ช่วยลดอาการบวมของถุงใต้ตาอาจเกิดจากการอดนอน การดื่มเครื่องดืมที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป และระบบไหวเวียนของน้ำเหลืองที่ไม่ดี

           อะไรคือทางเลือก?

          ใช้มาส์กเย็นๆ หรือถุงชาแช่เย็นประคบรอบดวงตา โดยหลับตาให้สนิทเสียก่อน และทิ้งไว้สัก 10 นาทีก็จะลดอาการบวมลงได้ หรือจะใช้วิธีโบราณยอดฮิตอย่างแตงกวาหันเป็นแว่นๆ วางบนตาก็จะช่วยให้ดวงสดชื่นได้ งดเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ เหล้าสุรา รวมถึงบุหรี่ เพราะจะยิ่งทำให้ถุงใต้ตาดูแลเด่นชัดขึ้น

          ดื่มน้ำมากๆ จะช่วยล้างเซลล์ไขมันและทำให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้น มีครีมทารอบดวงตาหลายตัวซึ่งมักมีส่วนผสมของสารกันแดด สารให้ความชุ่มชื่น และสารที่ทำให้ผิวตึงแต่ต้องใช้เวลานานและต้องใช้อย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล

          
 อยากให้ริมฝีปากเอิบอิ่ม
          สำหรับคนที่มีริมฝีปากบางคงฝันอยากเติมเต็มริมฝีปากให้เอิบอิ่มด้วยวิธีที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งโดยมากจะเป็นการฉีดสารคอลลาเจนรอบริมฝีปาก ซึ่งเป็นวิธีที่เจ็บมากและหาผิดพลาดก็จะทำให้ริมฝีปากบวมเจ่อ

           อะไรคือทางเลือก?

          ไม่มีทางเลือกที่จะมีริมฝีปากที่อิ่มแบบดาราหนัง ถ้าคุณมีปากปางเฉียบเหมือนกระดาษ แต่ก็มีวิธีตบตาให้ดูอิ่มเอิบขึ้นได้ด้วยการทำให้ริมฝีปากเนียนนุ่มโดยใช้ลิปมันที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ และถ้าอยากให้เห็นผลทันตาให้ดูดริมฝีปากกับฟันจะช่วยให้ริมฝีปากหนาขึ้น จากนั้นให้ทาลิปสติกที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปที่ริมฝีปากมากขึ้นอย่าง SkinScience MegaLips ซึ่งมีสารสกัดจากพืชในตระกูลพริก ทำให้ริมฝีปากเต็มอิ่มขึ้นได้ภายใน 10-15 นาที จากผลการวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าผู้ใช้ริมฝีปากหน้าขึ้น 60% และอยู่นาน 3-4 ชั่วโมง

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555


ทรงผมดังโงะสูตรความงามแบบธรรมชาติ "ผิวสวยอย่างประหยัด"

วันนี้เรานำเคล็ดลับสูตรความงามแบบธรรมชาติเพื่อให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงได้สวยอย่างประหยัดในยุคเศรษฐกิที่ต้องประหยัด ๆ แบบนี้ค่ะ ด้วย สูตรความงามแบบธรรมชาติ นี้จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สวยขึ้น ใสขึ้น นุ่มขึ้น เนียนขึ้น และดูดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ นอกจาก สูตรความงามแบบธรรมชาติ นี้จะหาวัตถุดิบได้อย่างง่ายแล้วยังราคาประหยัดอีกด้วยค่ะ ว่าแล้วอย่ารอช้าที่จะมีผิวสวยได้ดั่งใจก็มาดูเคล็ดลับ สูตรความงามแบบธรรมชาติ ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ




สูตรความงามแบบธรรมชาติ


สูตรความงามแบบธรรมชาติ


- สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยน้ำมะนาวช่วยให้ใบหน้าสะอาดหมดจด 

น้ำมะนาวนี่ละค่ะ นำมาผสมกับไข่ขาวสามารถทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างดี สำหรับสาวผิวมัน บีบน้ำมะนาวผสมกับไข่ขาว 1 ฟอง ตีไข่ขาวให้เป็นฟองและเทลงกระทะพร้อมน้ำมะนาวตั้งไฟอ่อน ๆ จนกระทั่งขึ้นฟูหนา ทิ้งไว้ให้เย็นนำมาทาทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 2-3 นาที และเช็ดออกด้วยสำลีชุบน้ำหมาด ๆ


- สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยใบบัวบกช่วยชะลอวัย 


ใบบัวบกที่แสนดีจะเป็นผู้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ถ้าอยากจะยืดระยะเวลาความเต่งตึงไว้นานหน่อยไปตลาดซื้อใบบัวบกสด ๆ มาปั่นหรือตำให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำใช้สำลีชุบน้ำพอกหรือทาบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกทำทุกวันก่อนนอนนะคะ 


- สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยน้ำตาลขัดผิวพรรณช่วยให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง

เราใช้น้ำตาลทรายเม็ดใหญ่ ๆ เป็นสครับขัดผิวได้ค่ะ ด้วยน้ำตาลทราย 1 ถ้วยผสมครีมอาบน้ำในบ้านประมาณ 2 ช้อนชา นำมานวดให้ทั่วตัวบริเวณไหนแห้งมากก็นวดให้ละเอียดและนานกว่าส่วนอื่นหน่อย เช่น ข้อศอก หัวเข่า ล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวพรรณจะสดใสเปล่งประกาย

หรือชโลมผิวด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว ใช้น้ำมะนาว 1 ถ้วย ผสมกับน้ำผึ้ง 2 ถ้วย หรือประมาณเอาเองก็ได้ค่ะว่า อัตราส่วน 1 ต่อ 2 ผสมให้เข้ากันล้างเนื้อล้างตัวพอสะอาด นำน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ทั่วเรือนร่างทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นกับสบู่เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูให้แห้งทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นสาวผิวแห้งเติมน้ำในส่วนผสมเสียหน่อยค่ะ 


- สูตรความงามแบบธรรมชาติ ด้วยข้าวโอ๊ช่วยถนอมมือทำให้มือนุ่มขึ้น 
ใช้ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกันพอเข้ากันได้ดีแล้วนำมาทาถูมือทั้งสองข้างล้างออกแล้วทำซ้ำอีกรอบ จะช่วยให้มือทั้งขาวขึ้นและนุ่มขึ้นสำหรับคนที่กลัวแพ้ก็ทดลองใช้ทีนะนิดก่อนก็ได้ค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Momy Pedia ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

25 สูตร ความงาม จากธรรมชาติ^^


บำรุงความงาม


1. ปั่นเนื้อสับปะรดผสมกับน้ำมันมะกอก  นำมาพอกให้ทั่วมือทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก  ทำซักสัปดาห์ละครั้ง  มือคุณจะนุ่มเนียน  แล้วเล็บจะแข็งแรงไม่ฉีกง่ายอีกด้วย
2. สำหรับสาวๆ  ที่ผมมันง่าย  นำแตงกวาสดมาปั่น  แล้วนำมาหมักผมที่หมาดๆ  ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที  แล้วล้างออก  สระและบำรุงผมด้วยครีมคอนดิชันเนอร์ตามปกติ  แตงกวาจะช่วยลดความมันของเส้นผมลงได้
3. ปั่นหัวไช้เท้า ½ ลูก  เติมน้ำมะนาวเข้าไป 2 ช้อนชา  นำมาทาหน้าบางๆ  ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที  แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด  ทำเป็นประจำจะช่วยให้รอยฝ้าและกระค่อยๆ  จางลงได้
4. นำใบสะระแหน่มาปั่น  แล้วนำไปผสมกับครีมนวดที่ใช้อยู่เป็นประจำ  หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด  จะช่วยลดรังแคได้
5.คั้นดอกชบากับน้ำอุ่นแล้วกรองเอาแต่น้ำมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ  ให้หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด  จะช่วยให้เส้นผมเงางามเป็นประกาย
6. ผสมน้ำมะนาวกับน้ำผึ่งลงในน้ำอุ่น  แล้วนำเท้าลงไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยทำให้เท่านุ่มเนียนไม่แห้งตกหรือหยาบกร้าน
7. ผสมกาแฟกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ  และดินสอพอง  นำส่วนผสมที่ได้พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที  จะช่วยให้ผิวเนียนใสไร้ริ้วรอย
8. นำกะหล่ำปลี 1 ซีกเล็กมาปั่นผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติ  แล้วเติมน้ำผึ่งเข้าไปเล็กน้อย  นำส่วนผสมที่ได้ทาหน้าทิ้งไว้ 20 นาที  แล้วล้างออกผิวหน้าของคุณจะเนียนใสไม่หมองคล้ำ
9. ล้างเปลือกกล้วยหอมให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ  นำมาปั่นผสมกับนมสด ½ ถ้วยแล้วใช้ลำลีซุบส่วนผสมที่ได้นำมาเช็ดผิวหน้าให้ทั่วทิ้งไว้ซักพักแล้วล้างออก  ผิวหน้าจะสะอาดสดใสและเนียนนุ่มขึ้น
10. นำถั่วเขียวปั่นผสมกับเปลือกส้มและโยเกิร์ตรสธรรมชาติเติมน้ำมันมะกอกเข้าไปเล็กน้อย  นำผสมผสมที่ได้พอกที่หน้าทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด  ผิวหน้าจะเนียนใสกระชับขึ้น
11. ปั่นเนื้อว่านหางจระเข้กับไข่แดงและน้ามันมะกอก  นำมาใช้หมักผมทิ้งไว้ ½ ชั่วโมง  แล้วล้างออกให้สะอาด  ผมจะนุ่มสลวยเป็นเงางาม
12. สำหรับสาวผมมันลองนำเนื้อว่านหางจระเข้มาปั่นกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา  แล้วนำมาผสมกับแชมพู 1 ถ้วย  ใช้สระผมแล้วล้างออกให้สะอาดจะช่วยลดความมันของเส้มผมลงได้
13. นำเนื้ออะโวคาโดมาปั่นผสมกับน้ำกะทิ  แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาหนักผมแล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 -15 นาที  แล้วล้างออกให้สะอาด  จะช่วยทำให้เส้นผมนุ่มลื่นขึ้น
14. ชงชาโรสแมรี่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วนำผสมกับแชมพูที่คุณใช้เป็นประจำ  ใช้สะผมจะช่วยลดรังแคได้  หรือจะนำชามาล้างผมในน้ำสุดท้ายก็จะช่วยลดปัญหาเรื่องรังแคร์ได้เข่นกัน
15. ปั่นแตงกวาแล้วกรองเอาแต่น้ำ  นำมาผสมกับน้ำมะนาวและผงขมิ้นเล็กน้อย  นำส่วนผสมที่ได้มาทาบริเวณใต้วงแขน  ทิ้งไว้แล้วล้างออก  ทำเป็นประจำจะช่วยลดความคล้ำบริเวณใต้วงแขนได้
16. ผสมน้ำส้มสายชูประมาณ 3 ช้อนชากับแชมพูที่คุณใช้ประจำ 2 ช้อนโต๊ะให้เข้ากัน  จากนั้นนำมาสระผมแล้วล้างออก  นวดบำรุงด้วยคอนดิชั่นเนอร์ตามปกติ  จะช่วยให้เส้นผมของคุณเงางามเป็นประกาย
17. นำน้ำส้มสายชูและแอปเปิ้ลมาผสมกับน้ำอุ่น  แล้วใช้ล้างผมเป็นน้ำสุดท้ายขณะสระผม  จะช่วยทำให้เส้นผมสะอาดเงาวามและไร้รังแค
18. ทำสครับขัดผิวแบบง่ายๆ  เพียงแค่นำถั่วเขียวและมันฝรั่งต้มพอประมาณไม่ต้องให้นิ่มมาก  จากนั้นนำมาปั่นเข้าด้วยกัน  เติมน้ำมันมะกอกเข้าไป 2 ช้อนชาแล้วส่วนผสมที่ได้มาขัดผิวกายทิ้งไว้สักพักแล้วล้างออก  จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชิ้นขึ้นได้
19. นำเปลือกมะพร้าวมาขัดเบาๆ  ตามสันเท้าและข้อศอกจะช่วยลดความด้านดำและความหยาบกร้านได้
20. อยากฟันขาวลองนำเล็ดขนมมาปังปิ้งมาขัดถูฟันเป็นประจำ  แล้วอย่าลืมแปลงฟันตามปกติ  เคล็ดลับนี้จะช่วยให้ฝันของคุณค่อยๆข่าวขึ้นได้
21. ชงชาดำแล้วทิ้งไว้ให้เย็น  นำมาใช้ล้างหน้าจะช่วยให้ผิวหน้าขาวใสและเนียนกระชับ
22. นำถุงชาอุ่นๆ  มาขัดถูเบาๆ  ที่บริเวณริมฝีปากจะช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดลอกไปได้ทำให้ริมฝีปากสะอาดและเนียนนุ่มซุ่มชื้น
23. หากคุณมีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้ามาลองล้างเท้าด้วยน้ำชาดำแบบชงเข้มข้นจะช่วยลดกลิ่นเท้าได้
24. นำซอลมะเขือเทศมาขัดถูเท้าให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที  แล้วล้างออกจะช่วยลดปัญหาเรื่องกลิ่นเท้าที่คอยกวนใจได้
25. ชงน้ำชาดำแบบเข้มข้นแล้วทิ้งไว้จนเย็นจากนั้นนำมาล้างแชมพูออกจากเส้นผมแทนการใช้น้ำเปล่า  จะช้วยให้เส้นผมเงางามเป็นประกาย

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

สูตรความงามจากธรรมชาติ “ช่วยผิวสวยขาวใส”


4 สูตรความงามจากธรรมชาติ

สูตร 1 องุ่น หรือกล้วยหอม

- นำองุ่นหรือกล้วยหอมที่กำลังสุกพอดี อย่าให้งอมเกินไปนัก ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมสด น้ำผึ้ง ปั่นรวมกันจนได้เป็นครีมแล้วนำมาพอก และนวดให้ทั่วผิวกาย เน้นที่จุดแห้งกร้าน อย่างข้อศอก หัวเข่า เท้า แล้วทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาที จึงค่อยล้างออก

สูตร 2 ฝรั่ง

- ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ผู้หญิงในหมู่เกาะมหาสมุทรแปซิฟิกนิยมใช้เป็นเครื่องสำอาง ทาผิวหน้ามานานแล้ว เพราะฝรั่งมีโพแทสเซียม น้ำตาล และกรดอะมิโนที่สามารถดึงน้ำให้อยู่ชั้นบนของผิวหนังจึงทำให้ผิวหนังมีความ ชุ่มชื้นขึ้นและยังมีวิตามินบี 2 และบี 5 ซึ่งถือว่าเป็นวิตามินเพิ่มพลังในการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเซลล์ สามารถป้องกันผิวหน้าไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระและเพิ่มการสร้างเซลล์ ใหม่ การเตรียมสูตรบำรุงผิวจากฝรั่งให้เลือกฝรั่งสดที่ไม่สุกจนเกินไป เลือกเฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อหั่นเป็นชิ้นเล็ก ใส่น้ำ และน้ำผึ้ง ปั่นรวมจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำทุกวันก่อนเข้านอนหน้าจะสดใสและเกลี้ยงเกลาขึ้น

สูตร 3 มะม่วง

- มะม่วงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นทำให้ผิวเรียบ ลื่น และสดชื่น ป้องกันผิวจากรอย เหี่ยวย่นและต้านอนุมูลอิสระ นำเนื้อมะม่วงสุกมายีหรือปั่นแล้วนำไปพอกให้ทั่วหน้าทิ้งไว้จนรู้สึกว่าแห้ง จึงล้างออก จะทำให้หน้าขาวและนุ่มนวลขึ้นโดยสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

สูตร 4 สับปะรด

- สับปะรดช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วและลดการอักเสบของผิว สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอและวิตามินซีสูงช่วยต้านอนุมูลอิสระและมี เกลือแร่อีกหลายชนิดช่วยทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น ให้เตรียมน้ำสับปะรด น้ำผึ้ง น้ำสะอาด คนให้เข้ากันพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นปากและดวงตาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกจะทำให้หน้าเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น
สุดท้ายขอฝากเคล็ด ลับในการนำผลไม้มาช่วยบำรุงผิวพรรณมีหลักการง่ายๆ คือ ต้อง สะอาด ผลไม้ต้องสดใหม่มีคุณภาพดี การปั่นหรือย่อยขนาดจนละเอียดเพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ผิวคุณสวยสดใสชุ่มชื่นได้แบบง่ายๆ แล้วค่ะ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารบํารุงเส้นผม

- ศีรษะแห้งและมีรังแค อาจเพราะขาดธาตุสังกะสีซึ่งมีมากในอาหารเช่น หอยนางรม เนื้อแดง เมล็ดฟักทอง กรดไขมันจากน้ำมันพืชทุกชนิด ปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาซาร์ดีน ปลาซัลมอน และถั่วเมล็ดแห้ง

- ผมร่วง อาจเกิดจากการขาดวิตามินเอที่มีมากในข้าวกล้อง ปลาที่มีไขมันมาก 
ถั่ว ไข่ นม โยเกิร์ต - ผมกระด้าง อาจเกิดจากการขาดวิตามินบีที่มีมากในอาหาร
เช่น ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม

- ผมเปราะแตกหักง่าย อาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็กซึ่งมีมากในเมล็ดงา 
ปลาซาร์ดีนปลาทูน่า เนื้อวัว ตับ แอพริคอตแห้ง 

- ผมเสียมาก อาจเกิดจากการขาดธาตุทองแดงและสังกะสี

ซึ่งทองแดงพบมากในตับวัว หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ปู กุ้งมังกร เห็ด ถั่วลิสง ลูกพรุน ส่วนสังกะสีพบมากในหอยนางรม เนื้อซี่โครงหมู ปลาซาร์ดีน จมูกข้าวสาลี

            อาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผมโดยรวม หาได้จากไข่และผลิตภัณฑ์จากนม 
ผักใบเขียวเข้ม ฟักทอง แครอท และผักอื่น ๆ ที่อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ปลาที่มีไขมันมาก อาหารทะเล เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้งถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้สดทุกชนิดที่อุดมด้วยวิตามินซี และที่ขาดไม่ได้คือ การดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร ( 6-8 แก้ว ) แล้วผมคุณจะสวยจนคนตะลึง

มังคุดช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง


มังคุด ราชินีแห่งผลไม้ กับรสชาติที่หอมหวานและกลมกล่อม มังคุดยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและความงาม  มังคุด  ได้ถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภททั้งมังคุดอบแห้ง น้ำมังคุด ไวน์มังคุด อาหารเสริมจากมังคุด ยาสระผมมังคุด ครีมนวดผม สบู่ โลชั่น และอื่นๆอีกมากมาย โดยผลจากการศึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย โดยการนำของ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา, รศ.ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม, รศ.ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร และ รศ.ดร.อำไพ ปั้นทองซึ่งทำการวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ของมังคุดมานานกว่า 3 ทศวรรษ (สามสิบกว่าปี) ได้พบว่า มังคุดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูงมากในเชิงสุขภาพ
โดยสามารถ ปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล ด้วยการลดการหลั่ง Interleukin I และ Tumor Necrosis Factor ซึ่งตามหลักวิชาของศาสตร์ภูมิคุ้มกัน จะช่วยลดอาการที่เกี่ยวกับการแพ้ภูมิตนเอง และการอักเสบ พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, ตับเสื่อม, ไตวาย, ข้อเข่าอักเสบ, ความดันโลหิต, โรคพาร์กินสัน, ไทรอยด์เป็นพิษ, และความผิดปกติของสมอง อันเกิดจากการอักเสบ ขณะเดียวกัน มังคุดก็สามารถเพิ่มการหลั่งสาร Interleukin II ของเม็ดเลือดขาวช่วยให้ร่างกายสามารถต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย เช่น ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรีย หรือ เซลล์มะเร็ง
ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ร่วมวิจัยกับค่าย Henkel KGa ของประเทศเยอรมนี ค้นพบด้วยว่า สารจากมังคุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือสาร GM-1 (แซนโทนส์ที่ดีที่สุดในมังคุด) ซึ่งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และระงับปวด โดยมีความแรงกว่ายาแอสไพรินถึง 3 เท่า จากจุดนี้เองได้มีการต่อยอดการวิจัยพัฒนาไปสู่การทำเครื่องสำอางค์ต่างๆจากสารสกัดเปลือกมังคุดเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อช่วยเหลือคนที่มีปัญหาสิวเรื้อรัง และอาการผิวแพ้ง่าย
                      ขณะที่ในปัจจุบัน ทางคณะวิจัยดังกล่าวได้ร่วมมือกับเครือข่ายทางการแพทย์ในระดับนานาชาติ ทำการศึกษาถึงคุณประโยชน์ของการดื่มน้ำมังคุดสกัดเข้มข้น เพื่อช่วยเยียวยาอาการป่วยของผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายอีกด้วยค่ะ