ข้อความเหล่านี้ คือโฆษณาชวนเชื่อที่มีอยู่จริงและมีอยู่มากในเว็บไซต์ ใบปลิว ที่ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณสาร "กลูตาไธโอน" หรือที่วัยรุ่น ชาวมหาวิทยาลัยเรียกสั้นๆ ว่า "สารขาว" ว่ามีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวนวลผ่องเป็นยองใยเหมือนดารา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ
กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine, Glutamic acid กลูตาไธโอนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ชนิดละลายน้ำได้ที่สำคัญที่ร่างกายสร้าง ขึ้น และเป็นพื้นฐานสำหรับสารแอนติออกซิแดนท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งกลูตาไธโอน เปอร์ออกซิเดส สารประกอบกลูตาไธโอน ช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ ร่างกายของเราจะผลิตมากขึ้นหากได้รับสารพิษเข้าไป เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม สารพิษเหล่านี้จะทำลายเซลล์และระบบของร่างกาย ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ แต่ปัจจุบันมีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม อ้างว่าเป็นสารที่ใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว ทำให้มีการนำไปใช้เป็นอาหารผิวเพื่อผิวเนียนขาวใสอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ซึ่งเป็นที่นิยมของดารา นางแบบ นายแบบ กลูตาไธโอนชนิดฉีด หน้าที่หลักของกลูตาไธโอนที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ 1. Detoxification : กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด 2. Antioxidant : กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมหรือความแก่ของเซลล์ (aging) และการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ ต้อกระจก เป็นต้น 3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูตาไธโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน และ Prostaglandin สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ต้องการให้ผิวเนียน ใส ขาวกระจ่าง เปล่งปลั่ง (เป็นเหตุผลที่เธอเสริมกลูตาไธโอนมากที่สุด) โดยปกติ แล้วร่างกายเราจะไม่ขาดกลูตาไธโอน นอกเสียจากจะเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้เกิดความต้องการสารตัวนี้มากขึ้น หรือโรคที่ต้านการสร้าง Glutathione โรคหรืออาการบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารนี้หรือต้องการสารนี้ในปริมาณ เพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคตับ เบาหวาน โรคความดัน ต้อหิน มะเร็ง เอดส์ ฯลฯ ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะพบว่ามีระดับกลูตาไธโอนในเลือดต่ำ เนื่องจากอัตราในการใช้กลูตาไธโอนเพิ่มขึ้น พบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากในหน่อไม้ฝรั่ง อะโวกาโด วอลนัท นม ไข่ สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม ปัจจุบันกลูตาไธโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงใดๆ และไม่มีรายงานความเป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในระยะสั้น หรือระยะยาว ระดับความปลอดภัยจัดเป็น "อาหารเสริม" ไม่ใช่ "สมุนไพร" การผลิตโดยทั่วไปผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ผลข้างเคียงที่มีรายงานคือ การกินปริมาณสูงติดต่อกันจะทำให้ผิวขาวใสเร็วขึ้น |
บล๊อกนี้ เพื่อนๆหนุ่มๆสาว ที่รักสวยรักหล่อ ใส่ใจในสุขภาพค่ะ มีทั้งภัยและประโยชน์ หากมีอะรัยเพื่มเติมกรุณาแสดงความเห็นด้วยนะคะ :))
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กลูตาไธโอน" ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้จริงหรือ?
อาหาร 9 อย่าง ที่ไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิด???
![]() หลาย ๆ คนอาจจะปักใจเชื่อว่า เนย นม ชีส หรือ ช็อกโกแลต เป็นตัวการทำให้อ้วนแน่นอน แต่เราขอบอกว่า จริง ๆ แล้ว คุณสามารถกินของพวกนี้ได้โดยไม่ทำให้อ้วนอย่างที่คิดเลยล่ะ แถมยังดีต่อสุขภาพ และช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ด้วย ฮั่นแน่! ชักสนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ อยากจะเอาไปเป็นไอเดียฟิตหุ่นใช่ไหมล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบมาเช็กลิสต์ข้างล่างนี้กันโดยด่วนแล้วล่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เคล็ดลับสุขภาพสำหรับคุณผู้ชาย^^
| |
![]() ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าผู้ชายจำนวนมากเริ่มหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและรูปลักษณ์ของตัวเองกันมากขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากการออกกำลังกายเพื่อให้มีสุขภาพดีแล้ว การเสริมหล่อดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอคือสิ่งจำเป็นเช่นเดียวกัน ไม่เฉพาะการประโคมใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเท่านั้น แต่เรื่องของอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณดูเด็กขึ้นได้อีกทางหนึ่ง ส่วนจะมีอาหารชนิดใดกันบ้างนั้น เราไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อย่าเพิ่งท้อใจนะคพอเห็นรายชื่ออาหารที่ควรรับประทานทั้งหมดแล้ว เนื่องจากอาหารบางชนิดคุณอาจจะไม่ชอบทานสักเท่าไหร่ เพราะหลักสำคัญของการรับประทานอยู่ที่ความ "หลากหลาย" และ "สม่ำเสมอ" คุณไม่จำเป็นต้องทานพร้อมกันหมดทุกอย่างในคราวเดียวกันก็ได้ เอาเป็นว่าค่อย ๆ รับประทานอย่างมีความสุข ปรับทุกกระบวนอาหารให้เหมาะกับตัวเรา เพียงเท่านี้คุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรง รวมทั้งมีใบหน้าและผิวพรรณที่ดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกด้วย |
เคล็ดลับความงาม^^
| |
![]() คงไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่าการป้องกันความอับอาย ด้วยการรู้จักโรคที่คาดไม่ถึงในที่ลับ กับวิธีสร้างสุขอนามัยในที่ซ่อนเร้น ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ผิวสวยจากส้ม^^
เคล็ดไม่ลับผิวสวยจากส้ม

เคล็ดไม่ลับผิวสวยจากส้ม
ส้มเขียวหวานเป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีวิตามินเอสูงมาก ตามด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากมาย ...ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน เสริมสร้าง คอลลาเจนช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้นครับ
นอกจากนั้นส้มเขียวหวานยังช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ในเปลือกผิวส้มมีน้ำมันหอมระเหยช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ และยังมีสารสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant ) เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ผิวเกลี้ยงเกลา และสดชื่น ขจัดความหมองคล้ำ และชะลอการเกิดริ้วรอย นิยมกินผลสด นำมาทำเป็นเครื่องดื่ม และเป็นส่วนผสมในการบำรุงภายนอก
ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบตาแคโรทีน 82 ไมโครกรัมและวิตามินซี 42 มิลลิกรัม จึงใช้รักษาและป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ที่สำคัญอีกทานส้มช่วยให้ผิวพรรณสดใสชะลอการเกิดริ้วรอย ได้อีกด้วย วันนี้ก็แวะซื้อส้มทานก่อนกลับบ้านกันนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555
น้ำมันมะพร้าว กับความงามและสุขภาพน่ารู้^^
ปัจจุบันน้ำมันมะพร้าวเป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยคุณสมบัติในตัว สามารถสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์ได้มากมาย และในงาน "มติชน เฮลท์แคร์ 2012" ที่เพิ่งปิดฉากไป น้ำมันมะพร้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดเสวนา “บทบาทของน้ำมันมะพร้าวต่อสุขภาพและความงาม” โดย ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย มาให้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว

ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา
มนุษย์ใช้น้ำมันมะพร้าวเป็นอาหาร เป็นยา เป็นเครื่องสำอางมาเป็นพันๆ ปี มีบันทึกไว้ว่า ในประเทศอินเดียใช้น้ำมันมะพร้าวมาเป็นเวลากว่า 4,000 ปีแล้ว
สำหรับประเทศไทย ปลูกมะพร้าวมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่อ 700 กว่าปีก่อน สกัดน้ำมันมะพร้าวมาประกอบอาหารหวานคาว ใช้เป็นสมุนไพร และเครื่องสำอาง
จากการศึกษาและทดลองพบว่าน้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันจากพืชชนิดเดียวในโลก ที่มี“กรดลอริก” อยู่ในปริมาณที่สูงมาก (48-53เปอร์เซ็นต์) และกรดชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและพิเศษกว่าน้ำมันพืชอื่นๆ ในการเสริมสุขภาพและความงามของมนุษย์
![]() | ![]() |
เมื่อร่างกายรับ “กรดลอริก” นี้เข้า จะเปลี่ยนเป็น “โมโนลอริน” ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับนมน้ำเหลืองของมารดา โมโนลอรินช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค โดยทำหน้าที่เป็นสารปฏิชีวนะ และเป็นสารฆ่าไวรัส แบคทีเรีย รา ยีสต์ โปรโตซัว รวมทั้งเชื้อที่ก่อให้หลอดเลือดแข็งตัว
สารปฏิชีวนะในน้ำมันมะพร้าว ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ และจะถูกสร้างขึ้นในร่างกายของมนุษย์ เมื่อบริโภคอาหารที่มีกรดลอริก อีกทั้งไม่เป็นอันตรายต่อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้
![]() |
ชนชาติที่ได้รับการยกย่องว่า มีรูปร่างสมส่วน มีผิวและผมสวยที่สุดในโลก คือชาวเกาะตาอิติ รวมทั้งชาวเกาะทะเลใต้อื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ก็เพราะชาวเกาะเหล่านี้ บริโภคมะพร้าวและใช้น้ำมันมะพร้าวชโลมตัวและผม ทำให้ผิวไม่แตกแห้งเป็นกระ แต่ชุ่มชื้นและเนียน ส่วนผมก็สลวย ดกดำเป็นเงางาม ทั้งๆ ที่ชาวเกาะเหล่านี้ ทั้งชายและหญิง ดำน้ำทะเล จับสัตว์น้ำ และเก็บปะการัง ถูกแดดแผดเผาร่างการตลอดทั้งวัน
น้ำมันมะพร้าวยังอุดมด้วยวิตามินอีที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ตัวการทำให้เกิดความเสื่อมของเซลผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณเยาว์วัย เนียนนุ่ม ไม่เกิดฝ้า กระ อีกทั้งไม่เป็นโรคทางผิวหนัง
มีสารปฏิชีวนะต่อต้านเชื้อโรค ทำให้ไม่มีรังแค และมีวิตามินอีทำให้หนังศีรษะไม่เหี่ยวย่น นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวซึมเข้าไปในเส้นผมได้ดี ช่วยยืดอายุโปรตีนของเส้นผมด้วย
จะเห็นได้ว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายแง่มุม ทำให้ร่างกายทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
14 เคล็ดลับคงความหนุ่มสาวตลอดไป :))

1. แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว การรับประทานอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญสารอาหารมาก ก่อให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น อาหารที่เรารับประทานไม่ว่าจะเป็น โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สุดท้ายก็จะถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาล ถ้าร่างกายรับแคลอรี่หนักทุกมื้อ ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงๆ ต่ำๆ ร่างกายต้องหลั่งสารอินซูลินตลอดเวลาเพื่อนำน้ำตาลไปเก็บไว้ในเซลล์ คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ย่อมเสี่ยงกับการเป็นโรคเบาหวานซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้แก่เร็ว
สมัยก่อนการกินอาหารเน้นแป้งและน้ำตาล รองลงมาคือ โปรตีน ผักผลไม้และไขมัน แต่ถ้าต้องการรับประทานอาหารให้ดีไม่ให้แก่เร็ว ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะสิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1 - 2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุด คือ ไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
2. กินหลากแหล่ง เลือกผักออร์แกนิกหรือจากหลากแหล่งผลิต เพราะเราไม่รู้ว่าแหล่งปลูกมีสารปนเปื้อนหรือไม่ วิธีนี้ช่วยลดการสะสมสารบางอย่างในร่างกาย เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต
3. ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุบกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า
4. ลดคาเฟอีน ปกติร่างกายหลั่งฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อกระตุ้นร่างกายให้เผาผลาญนำเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้เพียงพอ สร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารอะดีนาลีนอยู่เป็นประจำ อะดรีนาลินทำงานคล้ายฮอร์โมนไทรอยด์ ทำให้ร่างกายลดการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ไปโดยปริยาย ส่งผลให้ต่อมไทรอยด์เสื่อมเร็วกว่าปกติ
ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ ทำให้การเผาผลาญต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอาการมือเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ
5. ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชียมีอุบัติการ Cow’s Milk Intolerance มากกว่าคนอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ผลการวิจัยล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่ดื่มนมมากๆ มีความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่า เหตุผลคือ กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า
6. ดื่มน้ำจากขวดแก้ว การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย
7. หน้าแก่เพราะฟิตเกิน คุณเคยเห็นคนออกกกำลังกายหนักจนหน้าแก่ หรือบางคนฟิตจัด แต่จู่ๆ เกิดหัวใจวายกะทันหันกลางสนามกีฬาหรือไม่ นั่นเป็นเพราะร่างกายเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเหตุของความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่เหมาะสมจึงควรอยู่ที่ 30 - 45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3 - 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย
8. ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง การดื่มเหล้าทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย แถมเหล้าที่ดื่มเข้าไปกลายเป็นน้ำตาลสะสมในรูปไขมัน ถ้าเทียบการได้รับแคลอรี่จากโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ แต่เหล้าปริมาณเท่ากันให้พลังงานถึง 7 กิโลแคลอรี่ แถมยังทำให้ผู้ชายที่ดื่มจัดรูปร่างเหมือนถังเบียร์ หัวล้าน มีเต้านมเหมือนผู้หญิง
นั่นเป็นเพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติของฮอร์โมนเพศหญิงใช้ในการเก็บไขมัน คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน
9. หยุดสูบเสียแต่วันนี้ บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง
10. หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท ในอเมริกาและยุโรปสั่งห้ามใช้อะมัลกัม (Amalgum : ทำมาจากปรอทซึ่งเป็นโลหะหนัก) ในการอุดฟันคนไข้ เพราะพบว่ามีการระเหยปล่อยสารปรอทเข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย
11. วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า
12. เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร์ทฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป
13. กินวิตามิน วิตามินบางตัวออกฤทธิ์เป็นสารอนุมูลอิสระ เช่น กลุ่มวิตามินเอ อี ซี ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายต้องการตลอดเวลาเพราะสร้างเองไม่ได้ และต้องทำงานเป็นระบบ แต่ละตัวมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น วิตามินซีละลายในน้ำ ช่วยปกป้องดีเอ็นเอ ส่วนวิตามินเอ อี โคเอนไซม์คิว 10 ละลายในไขมัน ช่วยปกป้องผนังเซลล์ให้แข็งแรง ถ้ามั่นใจว่าได้รับสารเหล่านี้เพียงพอจากการกินอาหารจะไม่กินวิตามินเสริมก็ได้ แต่ปัญหาก็คือ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า อาหารที่กินเข้าไปให้วิตามินเหล่านั้นเพียงพอ เช่น ร่างกายต้องการวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัม เท่ากับส้ม 14 ลูก วิตามินอี 500 IU เท่ากับกินน้ำมันพีนัท 12.5 ช้อนโต๊ะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราไม่มีโอกาสได้รับอย่างครบถ้วน จึงต้องใช้วิตามินเสริมทดแทนสารอาหารที่ร่างกายขาดไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราขาด ก็ด้วยการตรวจปริมาณสารเหล่านี้ในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด
14. เสริมฮอร์โมน ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อ่อนเพลีย อารมณ์หงุดหงิด ความจำแย่ลง การเผาผลาญลดลง ร่างกายเปลี่ยนแปลง เช่น ผิวหนังเหี่ยวย่น แห้ง ผมร่วง ตามหลักการของเวชศาสตร์ชะลอวัย หรือ Anti-Aging Medicine นั้น ถ้าไม่มีข้อห้าม สามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ที่มา: รพ.กรุงเทพ และ วิชาการดอทคอม
ผลไม้ชลอความแก่และเสริมความงาม^^

การวิจัยทางวิทยาศาสตร์โภชนาการพบว่า เบต้าแคโรทีน
วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม สามารถต้านความชราภาพได้ด้วย แอนติออกซิแดนท์เหล่านี้ช่วยป้องกัน
และลดความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจาก ปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ (free
radicals) ธำรงความแข็งแรงของระบบเซลล์ไว้ได้นาน ดังนี้ ผลไม้ที่สารต้านอนุมุลอิสราจึง
ช่วยชะลอความแก่ ผลไม้ยังช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง ก็เท่ากับรักษาระบบภูมิต้านทานให้ไม่ต้อง
ถูกใช้งานหนัก ก็เท่ากับช่วยชะลอความแก่ไปโดยปริยาย คนกินผลไม้มาก ๆจะเห็นผลทันตา ผิวหนังจะ
เต่งตึงความเหี่ยวย่นจะปลาสนาการไป รูปหน้าที่สวยจริงก็จะปรากฎไม่ถูกบดบังทำอัปลักษณ์ใบหน้ากาง
ด้วยน้ำและไขมัน รอยย่นจะบางเบา นัยน์ตาจะใสและแจ่มจรัส ผลไม้มิได้ชะลอความแก่แต่ระดับผิว (เผิน) เท่านั้น เพราะผิวเป็นเพียงตัวบ่งบอกสุขภาพคนกินผลไม้มากจะมีโคเลสเตอรอลพอเหมาะ ความ
วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม สามารถต้านความชราภาพได้ด้วย แอนติออกซิแดนท์เหล่านี้ช่วยป้องกัน
และลดความเสื่อมของเซลล์อันเนื่องมาจาก ปฏิกิริยาลูกโซ่ของอนุมูลอิสระ (free
radicals) ธำรงความแข็งแรงของระบบเซลล์ไว้ได้นาน ดังนี้ ผลไม้ที่สารต้านอนุมุลอิสราจึง
ช่วยชะลอความแก่ ผลไม้ยังช่วยให้ระบบภูมิต้านทานแข็งแรง ก็เท่ากับรักษาระบบภูมิต้านทานให้ไม่ต้อง
ถูกใช้งานหนัก ก็เท่ากับช่วยชะลอความแก่ไปโดยปริยาย คนกินผลไม้มาก ๆจะเห็นผลทันตา ผิวหนังจะ
เต่งตึงความเหี่ยวย่นจะปลาสนาการไป รูปหน้าที่สวยจริงก็จะปรากฎไม่ถูกบดบังทำอัปลักษณ์ใบหน้ากาง
ด้วยน้ำและไขมัน รอยย่นจะบางเบา นัยน์ตาจะใสและแจ่มจรัส ผลไม้มิได้ชะลอความแก่แต่ระดับผิว (เผิน) เท่านั้น เพราะผิวเป็นเพียงตัวบ่งบอกสุขภาพคนกินผลไม้มากจะมีโคเลสเตอรอลพอเหมาะ ความ
ดันโลหิตพอดี ตับไตแข็งแรง ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกโดยตรงต่อผิวพรรณดังนั้น สุขภาพ ผิวพรรณ ความงามและการชะลอความแก่จึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาก นอกจากนั้น วิตามินซีและวิตามินเอยังช่วยให้ผิดเต่งตึงมีน้ำมีนวลโตยตรงอีกโสตหนึ่งด้วย ผลไม้ช่วยรักษาอาการเสื่อยสภาพบางอย่างอันเนื่องมาจากวัยได้ เช่น กินผลไม้ช่วยในสมรรถภาพพทางเพศไม่เสื่อมเร็ว ช่วยป้องกันอาการหลงลืมตามวัย เป็นต้น ในด้านสุขภาพผู้หญิง มีรายงานว่าวิตามินซีและไบโอฟลาโวนอยด์ (bioflavonoids) ในผลไม้ตะกูลส้ม (ที่ใส้หรือแกนของกลีบผล) ช่วยลดการเสียเลือดประจำเดือนให้น้อยและสั้นลงจนไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กลอนดีดี จากหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่ง อยากให้ทุกคนได้อ่าน^^
วันเกิดเราก็คล้ายวันตายแม่..
อุ้มท้องแก่กว่าจะคลอดรอดหลุดพ้น..
จากเด็กน้อยจนเติบใหญ่ได้เป็นคน..
เติบโตจนถึงวันนี้มีเพราะโคร..
แม้เจ็บจวนขาดใจในวันนั้น..
กลับเป็นวันลูกเฉลองกันผ่องใส..
ได้ชีวิตแล้วก็หลงระเริงใจ..
ลืมผู้ให้ชีวิตอนิจจา..
ทำไมเราเข้าใจว่าวันเกิด..
เปลี่ยนเป็นวันผู้ให้กำเนิดจะดีกว่า..
สิ่งอวยพรที่สลอนหน้ากันมา..
ควรจะมอบใฟ้มารดาผู้มีพระคุณ
..
เลิกจัดงานวันเกิดกันเถิดเรา..
ดีที่สุดควรคุกเข่ากรบเท้าแม่..
ลำลึกถึงผู้มีคุณอบอุ่นแด..
อย่ามัวแต่จัดงานประจานตน..
พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโต)
ลด 9 กิโลกรัม เป็นไปได้ ใน 3-4 สัปดาห์^^
ถ้าคุณมีงานสำคัญหรือโอกาสพิเศษรออยู่ และอยากลดน้ำหนักให้ผอมเพรียวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ลองวิธีง่าย ๆ เหล่านี้ดูสิ
กินวันละ 4 มื้อ
การกินมื้อเล็ก ๆ ย่อยเป็น 4 มื้อ จะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญ และช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้คุณรู้สึกหิวน้อยลงด้วย เมื่อคุณกิน 4 มื้อย่อย ๆ แต่อย่าลืมเลือกอาหารสุขภาพแคลอรีต่ำด้วย โดยเน้นผักและผลไม้สด ๆ ที่จะมีแคลอรีต่ำกว่าผักและผลไม้ที่นำไปปรุงสุก
ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ
น้ำช่วยชะล้างระบบภายในร่างกาย และยังช่วยควบคุม ลดความรู้สึกปวดท้องเวลาหิวและรักษาระดับน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายไว้ ดื่มน้ำหนึ่งแก้วในตอนเช้า พร้อมยาที่ช่วยเผาผลาญไขมันก่อนหรือพร้อมกับอาหารมื้อแรกและตอนเย็นด้วย เมื่อคุณกินน้อยลง คุณสามารถทดแทนแคลอรีด้วยวิตามินรวม หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที
จะยิ่งเห็นผลดียิ่งขึ้นเมื่อคุณทำดีท็อกซ์ไดเอ็ตร่วมด้วย เพื่อล้างพิษในร่างกายไปด้วยในตัว ที่เริ่มทำได้ง่าย ๆ โดยการกินแต่ผักหรือผลไม้สดตลอดทั้งวัน ก็ถือเป็นการดีท็อกซ์ได้ทางหนึ่ง
ควบคุมน้ำหนักรายสัปดาห์
หลายคนอาจสงสัยว่าในหนึ่งสัปดาห์ เราจะสามารถเพิ่ม-ลดน้ำหนักได้มากเท่าไหร่ และควรลดเท่าใดจึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
- อัตราน้ำหนักที่ลดลงในหนึ่งสัปดาห์ ควรอยู่ที่หนึ่งกิโลกรัม และไม่มากไปกว่านี้สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักทั่วไป
- คนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน จำกัดให้อยู่ที่ 1–1.5 กิโลกรัม
- คนที่จัดอยู่ในขั้นน้ำหนักเกินมาก ๆ ควรอยู่ที่ 1.5-2.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ส่วน
- ผู้มีน้ำหนักตัวน้อย หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก ควรให้เป็นไปอย่างช้า ๆ และอยู่ในอัตราที่สม่ำเสมอ ซึ่งก็คือประมาณหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์

กินวันละ 4 มื้อ
การกินมื้อเล็ก ๆ ย่อยเป็น 4 มื้อ จะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญ และช่วยให้ลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น และยังช่วยให้คุณรู้สึกหิวน้อยลงด้วย เมื่อคุณกิน 4 มื้อย่อย ๆ แต่อย่าลืมเลือกอาหารสุขภาพแคลอรีต่ำด้วย โดยเน้นผักและผลไม้สด ๆ ที่จะมีแคลอรีต่ำกว่าผักและผลไม้ที่นำไปปรุงสุก
ดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ
น้ำช่วยชะล้างระบบภายในร่างกาย และยังช่วยควบคุม ลดความรู้สึกปวดท้องเวลาหิวและรักษาระดับน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายไว้ ดื่มน้ำหนึ่งแก้วในตอนเช้า พร้อมยาที่ช่วยเผาผลาญไขมันก่อนหรือพร้อมกับอาหารมื้อแรกและตอนเย็นด้วย เมื่อคุณกินน้อยลง คุณสามารถทดแทนแคลอรีด้วยวิตามินรวม หรืออาหารเสริม
ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30-60 นาที
จะยิ่งเห็นผลดียิ่งขึ้นเมื่อคุณทำดีท็อกซ์ไดเอ็ตร่วมด้วย เพื่อล้างพิษในร่างกายไปด้วยในตัว ที่เริ่มทำได้ง่าย ๆ โดยการกินแต่ผักหรือผลไม้สดตลอดทั้งวัน ก็ถือเป็นการดีท็อกซ์ได้ทางหนึ่ง
ควบคุมน้ำหนักรายสัปดาห์
หลายคนอาจสงสัยว่าในหนึ่งสัปดาห์ เราจะสามารถเพิ่ม-ลดน้ำหนักได้มากเท่าไหร่ และควรลดเท่าใดจึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
- อัตราน้ำหนักที่ลดลงในหนึ่งสัปดาห์ ควรอยู่ที่หนึ่งกิโลกรัม และไม่มากไปกว่านี้สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักทั่วไป
- คนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน จำกัดให้อยู่ที่ 1–1.5 กิโลกรัม
- คนที่จัดอยู่ในขั้นน้ำหนักเกินมาก ๆ ควรอยู่ที่ 1.5-2.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ส่วน
- ผู้มีน้ำหนักตัวน้อย หากต้องการเพิ่มน้ำหนัก ควรให้เป็นไปอย่างช้า ๆ และอยู่ในอัตราที่สม่ำเสมอ ซึ่งก็คือประมาณหนึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)