วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อาหารบำรุงสมอง "ช่วยความจำ


20 อาหารบำรุงสมอง "ช่วยความจำ"

1. บลูเบอร์รี่

ลูกเบอร์รี่ต่างๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมากๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อมหรืออบแห่งเท่านั้นล่ะค่ะ

2. แซลมอนธรรมชาติ

กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงนะค่ะ

3. ทับทิม

คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสดๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้นเพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมากๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกันนะค่ะ

4. กาแฟ

เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่นๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียวๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5. ถั่ว

ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง  แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาลหรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่นๆ


6. ทูน่า

นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่นๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน

7. ข้าวกล้อง

ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมากๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8. ชาเขียว

ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อนๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วยหินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไปก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิดๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินานๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9. เมล็ดพืช

ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่นๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10. ข้าวโอ๊ต

ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควรหรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใสและไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย


อาหารบำรุงสมอง


11. หอยนางรม

ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย

12. ผักใบเขียว

ผักโขม คะน้า ปวยเล้ง บร็อกโคลี่ กวางตุ้ง ฯลฯ ไม่ว่าคุณจะชอบผักใบเขียวชนิดไหนควรพยายามกินทุกวัน ผักใบเขียว อุดมด้วยธาตุเหล็ก ถ้าขาดธาตุเหล็กก็อาจมีโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น กลุ่มอาการขาอยู่ไม่เป็นสุข (Restless Legs Syndrome) อาการเหนื่อยล้า อารมณ์เสีย สมองตื้อตัน และปัญหาสภาพจิตอื่นๆ

13. มะเขือเทศ

แม้ใครๆ จะรู้กันว่ากินมะเขือเทศแล้วผิวสวย แต่มะเขือเทศเองก็จัดว่าเป็นอาหารสมองชั้นดีเหมือนกัน เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระชื่อว่า ไลโซปีน จึงช่วยป้องกันโรคหลงลืมได้ เพียงแต่ต้องผ่านความร้อนก่อนเพื่อให้เรารับไลโคปีนได้เต็มที่ อย่างนี้ก็หมายความว่าซอสมะเขือเทศก็มีประโยชน์น่ะสิ? จริง แต่ว่าซอสมะเขือเทศก็มากับน้ำตาลเช่นกัน หากเป็นไปได้ก็ทำอาหารเองจะดีกว่านะ

14. น้ำมันมะกอก

อย่าลืมว่าร้อยละ 60 ของสมองคือไขมัน ดังนั้น เราไม่สามารถมองข้ามไขมันไปได้ การศึกษาจำนวนมากชี้ว่า ถ้าไม่มีไขมันแล้วเราจะคิดอ่านไม่ชัดเจน อารมณ์แปรปรวน และอาจเป็นโรคนอนไม่หลับ การกินอาหารที่อุดมด้วยไขมันนั้นจำเป็นมากๆ ต่อสมองที่ปลอดโปร่ง ความจำที่ดี และอารมณ์ที่สมดุล ทั้งนี้ อาหารสำเร็จรูปขนมกรุบกรอบหรือแม้แต่น้ำราดสลัดส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันข้าวโพดหรือน้ำมันอื่นๆ ที่มีไขมันโอเมก้า-6 ตรงนี้ต้องคอยสังเกตไว้ ถึงจะชื่อว่าโอเมก้า-6 แต่ก็ไม่ใช่ไขมันที่ดี

15. น้ำสะอาด

เพื่อสมองที่แจ่มใสจะขาดน้ำเปล่าไปไม่ได้ อย่าลืมหาโอกาสจิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวัน (และสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วย) การดื่มน้ำเปล่ากับสูดอากาศจะช่วยเพิ่มพลังและทดแทนออกซิเจนเข้าไปในเซลล์ทำให้สมองของคุณไม่รู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไปนัก อย่างไรก็ตามต้องหลีกเลี่ยงน้ำหวานหรือน้ำอัดลมของพวกนี้มีทั้งน้ำตาลและกาเฟอีนอยู่ในปริมาณมากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่การเสพติดได้เลยทีเดียว

16. ผงกะหรี่

เครื่องปรุงนี้เป็นหนทางที่ดีในการเพิ่มรสชาติให้แก่สมอง ส่วนประกอบหลักในผงกะหรี่ คือ ขมิ้น และขมิ้นก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย มันจะช่วยต่อสู้กับอนุมูลอิสระทั้งหลายที่เกิดขึ้นในสมองและร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย เพียงแค่เดือนละครั้งที่กินกะหรี่ก็มีผลดีต่อสมองแล้วล่ะ

17. ไข่

มีทั้งโปรตีนและไขมันซึ่งให้พลังงานแก่สมองได้นานหลายชั่วโมง นอกจากนี้ซีลีเนียมในไข่ออร์แกนิกก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้

18. โยเกิร์ต

เป็นอาหารว่างที่ง่ายและมีประโยชน์ด้วยโปรตีนและแคลเซียม โปรตีนสำคัญมากต่อสารสื่อประสาทที่จะช่วยให้สมองแจ่มใส ส่วนแคลเซียมก็ช่วยในเรื่องของความจำ แต่ก็ต้องดูว่าโยเกิร์ตนั้นไม่มีน้ำตาลมากเกินไป ถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็ลองกินคู่กับธัญพืชต่างๆ เพื่อเป็นของว่างเมื่อไหร่ก็ได้ที่หิว

19. ช็อกโกแลต

ไม่ว่ารสชาติหรือประโยชน์ ช็อกโกแลตก็ดีตรงที่มีสารช่วยกระตุ้นสมองมีปริมาณกาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะเพิ่มสารเซโรโทรนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข นอกจากนี้ดาร์กช็อกโกแลตยังมีใยอาหารจำนวนมาก (ยังจำกันได้มั้ย ใยอาหาร = หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง = สมองแข็งแรง)

20. กระเทียม

ถ้าไม่สงสารคนนอนข้างๆ ก็กินกระเทียมสดๆ เลย เห็นเล็กๆ อย่างนี้ กระเทียมเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย ไม่เพียงแต่มันจะมีชื่อเสียงในเรื่องการลดระดับคอเลสเตอรอล "เลว" และทำให้หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง กระเทียมยังช่วยส่งสารต้านอนุมูลอิสระไปที่สมองด้วย


เคล็ดลับสมองสุขภาพดี

- แม้ว่าสมองจะหนักแค่ 2% ของน้ำหนักตัว แต่ก็ใช้สารอาหารและออกซิเจนถึง 20% ของทั้งหมดในร่างกาย


- การมองอนาคตในแง่ดีก็จะช่วยสมองได้ เนื่องจากเป็นการขับไล่ความเครียดและความวิตกกังวลในแง่หนึ่ง


- สมองเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกาย การออกกำลังจึงช่วยทำให้สมองแข็งแรงได้ด้วยเช่นกัน


(N3K.IN.TH)

เคล็ดลับผมแตกปลาย "แก้ได้!!!" ง๊ายง่ายค่ะ



เคล็ดลับผมแตกปลาย


เคล็ดลับผมแตกปลาย

นำไข่แดงของไข่ไก่จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นชโลมน้ำอุ่นให้ทั่วศีรษะแล้วค่อยเทส่วนผสมที่ทำไว้ทั่วศีรษะ คลุมศีรษะด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นหมักทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยแชมพูอ่อนๆ เพียงเท่านี้ผมของคุณก็จะเริ่มกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้งไร้ผมแตกปลาย


(N3K.IN.TH)

"ตัวไรฝุ่น" สาเหตุสุขภาพเสีย! มา "กำจัดไรฝุ่น" กันเถอะ!




ตัวไรฝุ่น กำจัดไรฝุ่น


"ตัวไรฝุ่น" สาเหตุสุขภาพเสีย!

- ฝุ่นละอองขนาดเล็กมีผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เมื่อหายใจเข้าไปในปอดจะเข้าไปอยู่ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ในสหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้ที่ได้รับฝุ่นในระดับหนึ่งจะทำให้เกิดโรค Asthma และฝุ่นในบรรยากาศจะมีความสัมพันธ์กับอัตราการเพิ่มของผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและโรคปอดและเกี่ยวโยงกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร


- จากผลการวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าฝุ่น 1 กรัม มีไรฝุ่นมากถึง 2,500 ตัว ในที่นอนหนึ่งหลัง ส่วนใหญ่มีอนุภาคของฝุ่นขนาดเล็ก 1-20 ไมครอน เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งฝุ่นจะประกอบด้วยอนุภาคของสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต สะเก็ดของผิวหนังที่แห้ง อนุภาคเกลือจากเหงื่อ และในที่นอนหนึ่งหลังอาจมีไรฝุ่นถึงหนึ่งล้านตัวอาศัยอยู่

อาหารของตัวไรฝุ่น

- อาหารของไรฝุ่น คือ เศษเซลล์ สะเก็ดผิวหนัง ซึ่งหลุดร่วงจากตัวคน เพราะโดยปกติร่างกายจะสลัดเศษเซลล์เหล่านี้วันละประมาณหลายพันล้านชิ้น ส่วนใหญ่ตกลงบนที่นอนและเกาะตัวอยู่ตามสปริงที่อยู่ภายในที่นอน ยิ่งไปกว่านั้นการที่ร่างกายขับเหงื่อในขณะที่นอนยิ่งทำให้ที่นอนมีความชื้นเหมาะแก่การอยู่อาศัยและเจริญพันธุ์ของไรฝุ่นเป็นอย่างดี


ภูมิแพ้ไรฝุ่น

- นอกจากฝุ่นละอองจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาแล้วยังทำอันตรายต่อระบบหายใจเมื่อเราสูดเอาอากาศที่มีฝุ่นละอองเข้าไป อาการระคายเคืองจะเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจ ขึ้นอยู่กับขนาดของฝุ่นละออง โดยฝุ่นที่มีขนาดใหญ่ร่างกายจะดักไว้ได้ที่ขนจมูก ส่วนฝุ่นที่มีขนาดเล็กนั้นสามารถเล็ดลอดเข้าไปในระบบหายใจทำให้ระคายเคืองแสบจมูก ไอ จาม มีเสมหะ หรือมีการสะสมของฝุ่นในถุงลมปอดทำให้การทำงานของปอดเสื่อมลง


- ข้อสังเกตง่ายๆ ว่าไรฝุ่นกำลังบั่นทอนสุขภาพของคุณหรือไม่ คือการสังเกตอาการของร่างกาย เช่น การมีโรคภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ ซึ่งจะทำให้ทั้งไอจาม น้ำมูกไหล เจ็บคอ จนกระทั่งรุนแรงมากที่สุด คือ โรคหอบหืด สาเหตุของการแพ้ เกิดจากสารที่ปนเปื้อนมากับฝุ่น เช่น ตัวไรฝุ่น สัตว์ตัวเล็กๆ ที่อยู่ในบ้านตามที่นอน หมอน มุ้ง เมื่อเราหายใจเอาตัวของมันเข้าไปก็จะเกิดอาการหอบหืดทันที


ป้องกันไรฝุ่น

- การแก้ปัญหาฝุ่นละอองในที่พักและการป้องกันทำได้ง่าย โดยเอาเครื่องนอน หมอน มุ้ง ทั้งหมดไปตากแดดบ่อยๆ ตัวไรก็จะตายหมด การเอาที่นอนไปเคาะเอาฝุ่นออกบ่อยๆ หรือบางทีก็ต้มและซักด้วยจะยิ่งเป็นการดีที่สุด


กำจัดไรฝุ่น

- การใช้เครื่องดูดฝุ่นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดปัญหาฝุ่นผงและไรฝุ่น ควรดูดฝุ่นจากพรมให้บ่อยและเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความสะอาดและตัดวงจรการเจริญเติบโตของเชื้อรา ซึ่งการลากเครื่องดูดฝุ่นไปมาแบบเร็วๆ ไม่ใช่การดูดฝุ่นที่ถูกวิธีเพราะนั่นเป็นแค่การนำเอาฝุ่นออกมาจากพรมให้กระจายอยู่ในห้องเท่านั้น แต่การดูดฝุ่นที่ถูกต้องควรลากเครื่องไปอย่างช้าๆ และอยู่ในแต่ละจุดให้นานขึ้นเพื่อให้ฝุ่นหลุดออกมาได้ทั้งหมด


- สิ่งสำคัญหลังการทำความสะอาดคือการดูแลรักษาสุขอนามัยของเครื่องมือ วิธีดูแลรักษาเครื่องดูดฝุ่น เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนาน มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี เช่น การทำความสะอาดถุงกรอง หรือถุงเก็บฝุ่น ที่สามารถซักล้างได้ เพื่อป้องกันการอุดตันยืดอายุการทำงานมอเตอร์ไม่ให้เกิดความร้อนจากการทำงาน

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น :))


12 เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น

1. การขัดผิว

เป็นวิธีทําให้ผิวขาวที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาดหรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่ายๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิวเพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่ายๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไปแล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้

มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมาเป็นวิธีทําให้ผิวขาวเผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดดเพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

3. น้ำนมเพื่อผิวขาว

ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตามวิธีทําให้ผิวขาวได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อยๆ ขาวขึ้น

4. ผลไม้รสเปรี้ยว

ช่วยในการขัดขี้ไคลเป็นวิธีทําให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใสและกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบางไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูงควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้ายๆ กันก็ได้

5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว

ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็นและทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบางๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดดหรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาวๆ คนไหนอยู่ติดบ้านไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลยใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียวทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

6. ครีมกันแดด

ควรเป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่าครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่งถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาดๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมากจึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง


เคล็ดลับทำให้ผิวขาวขึ้น


7. ทานอาหารให้เหมาะสม

โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อเพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้วหน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมาซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิวทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย

วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้น จึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาวนี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อมๆ กัน

10. การอบไอน้ำผิวหน้า

เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้งช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้งวิธีทําให้ผิวขาวและช่วยขจัดสิวไปพร้อมๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่ายๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขนและไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

11. เมคอัพช่วยได้

ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้มก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

12. สารพัดสูตรพอกหน้า

นอกจากการขัดผิวแล้วสาวๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้ารวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมายที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง

"ตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า เลือกทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้า" เคล็ดลับอยู่นี่แล้ว!!!


ตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า เลือกทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้า


เคล็ดลับ ตัดผมให้เข้ากับรูปหน้า เลือกทรงผมให้เหมาะกับรูปหน้า

- สาวหน้ารูปไข่

ใบหน้ารูปไข่ คือ สาวที่มีความยาวของใบหน้าเป็น 1.5 เท่าของความกว้าง และมีความกว้างของหน้าผากมากกว่าช่วงกรามเล็กน้อย สาวที่มีใบหน้ารูปไข่จัดว่าโชคดีมากเพราะเป็นใบหน้าที่เข้ากับทรงผมแบบใด ความยาวเท่าไหร่ก็ได้ สาวหน้ารูปไข่สามารถสไลด์ผมที่ช่วงใดช่วงหนึ่งของใบหน้าเพื่อให้ส่วนนั้นเป็นจุดเด่นก็ได้ เช่น หากอยากเน้นแก้มก็สามารถสไลด์ผมที่ระดับแก้มได้ เพียงแต่ระวังไม่ทำทรงผมที่เพิ่มความสูงให้กับศีรษะ เพราะจะทำให้หน้าดูยาวเกินไปนั่นเอง

- สาวหน้ากลม

สาวหน้ากลม มีคางสั้น บางครั้งก็มีแก้มแถมมาด้วยทำให้ความกว้างและความยาวของใบหน้าดูเท่าๆ กันไปหมด ทรงผมที่เข้ากับสาวหน้ากลมควรเป็นทรงผมที่เพิ่มความสูงให้ศีรษะและเล่นระดับจากด้านบนศีรษะลงมาด้านล่างเพื่อเป็นการถ่ายเทน้ำหนักและความอวบกลมของใบหน้าให้กระจายออกไป ส่วนผมข้างๆ ไม่ควรปล่อยให้ฟูเพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูกลมเข้าไปใหญ่ ทำผมเรียบๆ หรือจะปล่อยยาวตรงลงมาแล้วเหน็บไว้ข้างหูจะดีกว่าค่ะ

- สาวหน้าลูกแพร์

สาวหน้ารูปลูกแพร์ คือ คนที่มีหน้าผากแคบกว่าช่วงกรามและมีคางเล็กกลม ทรงผมที่เข้ากับรูปหน้าแบบนี้ควรเป็นผมที่ทำแล้วช่วยหลอกตาว่าส่วนหน้าผากมีความกว้างกว่าหรือพอๆ กับช่วงกราม โดยเลือกทรงที่เพิ่มความกว้างให้กับหน้าผากและช่วงขมับนั่นเอง 

- สาวหน้ารูปหัวใจ

ใบหน้ารูปหัวใจมีช่วงกรามเป็นส่วนที่แคบที่สุดของใบหน้าและอยู่ค่อนข้างสูงมีช่วงหน้าผากกว้างและมักมีคางที่แคบประกอบด้วย ทรงผมที่เหมาะกับใบหน้ารูปนี้ควรจะดึงความสนใจออกไปจากบริเวณโหนกแก้มและช่วงคางเพื่อให้ดูกลมกลึงขึ้น อย่างผมผมบ็อบที่เซ็ทปลายสะบัดหรือสไลซ์ปลายดูบางเบาไม่เน้นโหนกแก้มและดูฟุ้งๆ ทำให้คางซอฟท์ลง หรือถ้าเป็นผมยาวจะดัดอ่อนๆ ก็สามารถทำได้ เพราะช่วยบดบังโหนกแก้มและไม่เน้นคางที่เล็กแหลมด้วยค่ะ

- สาวหน้ารูปเพชร

หน้ารูปเพชรมีช่วงโหนกแก้มค่อนข้างกว้าง ในขณะที่หน้าผากและคางแคบ ผมสำหรับหน้ารูปเพชรต้องช่วยพรางโหนกแก้มได้รวมทั้งเพิ่มความกว้างของหน้าผากไปด้วยเช่นกัน

- สาวหน้ารูปเหลี่ยม

หน้าทรงนี้มีหน้าผากกว้าง คางปาด และโหนกแก้มเยอะ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นเป็นรูปเหลี่ยมชัดเจน แบบผมสำหรับหน้าทรงนี้ต้องทำให้หน้าดูซอฟท์ลง การแสกข้างสามารถจะช่วยได้ รวมถึงการสไลด์ไล่ระดับตามกรอบหน้าหรือดัดปลายเป็นลอนอ่อนๆ ก็จะช่วยทำให้ใบหน้าดูนุ่มนวลขึ้นได้ หลีกเลี่ยงบ็อบตรงหรือผมสั้นระดับคาง เพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นเหลี่ยมมุมของใบหน้าชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

หน้าอกหน้าใจ...เรื่องสำคัญที่ผู้หญิงควรรู้! ... และวิธีดูแล


หน้าอกหน้าใจ


หน้าอกหน้าใจ ... คำถาม ... วิธีดูแล

1. การออกกำลังกายอย่างวิดพื้นจะช่วยให้หน้าอกใหญ่และกระชับขึ้นได้จริงเหรอ?

มีผลบ้าง...แต่มันไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อหน้าอกซึ่งไม่มีกล้ามเนื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือมันช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้านใต้หน้าอกจึงทำให้คุณดูเหมือน "อึ๋ม" ขึ้นได้เล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าหน้าอกคุณค่อนข้างเล็กลองทำท่ากายบริหารอย่างวิดพื้นหรือ Chest Flies (นอนหงายหลัง โดยถือดัมเบลล์เอาไว้ในมือแต่ละข้าง กางแขนออกเป็นรูปตัว T ให้ต่ำกว่าระดับไหล่ งอข้อศอกเล็กน้อยและยกดัมเบลล์ทั้งสองข้างเหนือหน้าอก) 3 เซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง สัปดาห์ละ 3 วัน คุณน่าจะเห็นผลดีขึ้นภายใน 3 สัปดาห์

2. มีอะไรช่วยไม่ให้หน้าอกหย่อนยานก่อนวัยอันควรบ้าง?

หน้าอกคุณจะหย่อนยาน (หรือเต่งตึง) แค่ไหนขึ้นอยู่กับพันธุกรรม แต่คุณสามารถชะลอการหย่อนยานได้โดยหลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดน้ำหนักแบบโยโย่เพราะจะทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงหน้าอกตามธรรมชาติหย่อนยาน นอกจากนี้การใส่ยกทรงที่กระชับพอดีตัวโดยเฉพาะในขณะออกกำลังกายจะช่วยป้องกันการหย่อนยานได้ ด้วยการช่วยรักษารูปทรงของเต้านมไว้และบรรเทาการฉีกขาดของเส้นเอ็นคุณจะต้องให้แน่ใจว่ายกทรงทั้งตัวมีความกระชับพอ เนื่องจากร้อยละ 90 ของการประคับประคองจะมาจากแถบผ้ารอบตัวไม่ใช่สายชุดชั้นใน ฉะนั้น ถ้ายกทรงหลวมเกินไปมันก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้

3.ทำไมหน้าอกของฉันใหญ่ขึ้นและเจ็บก่อนมีประจำเดือน?

โทษฮอร์โมนของคุณได้เลย พญ.รีเบ็กก้า บูธ นรีแพทย์ในหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี และผู้แต่งหนังสือเรื่อง The Venus Week : Discover the Powerful Secret of Your Cycle…at Any Age บอกเช่นนั้น เหตุผลแรกคือ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุของการบวมน้ำทำให้หน้าอกบวมและนุ่มมากขึ้น ส่วนฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เป็นสาเหตุของความเจ็บปวดเช่นกัน “ฮอร์โมนพวกนี้กำลังเตรียมร่างกายของเราให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และส่งสัญญาณไปยังท่อน้ำนมให้ขยายออกซึ่งนี่อาจทำให้เจ็บปวดได้” พญ.บูธบอก คุณควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลกาเฟอีนและอะไรก็ตามที่มีโซเดียมอยู่มาก เพราะทั้งสามอย่างนี้จะเพิ่มการกักเก็บของเหลวซึ่งจะทำให้หน้าอกของคุณใหญ่ขึ้นชั่วคราว (และตัวบวมด้วย)

4. ทำไมหน้าอกแต่ละข้างไม่เท่ากัน?

เพราะคุณเป็นคนปกติ น้อยคนนักที่จะมีหน้าอกเท่ากัน ขนาดต่างกัน 1-2 คัพก็ยังถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ พญ.บูธ ยังชี้ว่า ความไม่เท่ากันนั้นอาจเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากการตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร แต่ควรระวังไว้ว่า หากเต้านมข้างหนึ่งใหญ่ขึ้นอย่างกะทันหันอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงเนื้องอก แม้ว่าจะเกิดขึ้นได้ยากมาก แต่ถ้าคุณมีอาการดังกล่าวจริงควรไปพบแพทย์ด่วน

5. ขนพวกนี้มันอะไรกัน?

อาจจะน่ารำคาญแต่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ทางแก้ง่ายๆ ก็คือถอนมันออกซะ ลองถอนหลังจากคุณอาบน้ำอุ่น เพราะรูขุมขนจะขยายกว้างขึ้นและจะถอนเส้นขนได้ง่ายกว่า

6. ทำไมหน้าอกถึงมีรอยแตกเป็นลาย?

เป็นผลมาจากการขยายขนาดโดยฉับพลัน ไม่ว่าเพราะคุณแตกเนื้อสาว ตั้งครรภ์ หรือเพราะน้ำหนักเพิ่มขึ้น แม้ครีมจะช่วยไม่ได้มากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปรอยเหล่านี้ก็จะจางลงเรื่อยๆ

7. ลูกมีผลกระทบอย่างไรต่อหน้าอก?

อันดับแรกเลยคือ หน้าอกของคุณอาจจะใหญ่ขึ้น แต่หลังจากมีลูกแล้วผู้หญิงหลายคนบอกว่าหน้าอกลดขนาดลงกว่าก่อนตั้งครรภ์ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลทางชีววิทยาว่าทำไมหน้าอกถึงหดและมีขนาดเล็กลงหลังจากให้นมบุตรแล้ว บางทีเนื้อเยื่อในเต้านมอาจจะเปลี่ยนแปลงก็เลยดูเหมือนว่าเล็กลงก็ได้ และบางทีมันอาจเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราต้องแลกกับการทำสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างการให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกก็ได้

8. อยากเสริมเต้านมเสี่ยงหรือเปล่า?

แน่นอน! มันถือเป็นผ่าตัดใหญ่เลย ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจรวมไปถึงการติดเชื้อ ชาด้าน ภาวะแทรกซ้อนของแผลเป็น หรือแผลฉีกขาด แม้ว่าราคาของการเสริมทรวงอกอาจจะถูกและล่อตาล่อใจ แต่คุณควรนึกถึงสุขภาพเป็นอันดับแรก (ไม่ใช่นึกถึงเงิน) ให้มองหาแพทย์ที่มีประสบการณ์และขอดูภาพผลงานก่อน-หลัง พร้อมกับคุยกับคนไข้คนก่อนๆ เกี่ยวกับผลของการเสริมหน้าอกเสียก่อน

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผมเสีย แต่อยากทำสี "เรามีเคล็ดลับ"


ปัญหาผมเสียเกิดขึ้นได้บ่อยกับสาวทำสีผม วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีวิธีแก้ผมเสียของสาวอยากทำสีผมตอบทุกโจทย์ความต้องการในการทำสีผมค่ะ เชื่อไหมค่ะว่า เคล็ดลับของสาวผมเสียแต่อยากทำสีผมที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาแนะนำในวันนี้เป็นเคล็ดลับที่ง่ายๆ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาของสาวๆ ผมเสียได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ อย่าลืมทำตามทุกขั้นตอนที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาแนะนำละนะค่ะ รับรองว่า คุณสาวๆ จะได้สีผมอย่างใจแม่ในขณะที่ผมเสียก็ตามทีคะ มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า เคล็ดลับที่ว่ามานี้จะมีอะไรกันบ้าง กับโจทย์ที่คุณสาวๆ มักมีคำถามที่ว่า ผมเสีย แต่อยากทำสี



ผมเสีย แต่อยากทำสี


ผมเสีย แต่อยากทำสี "เรามีเคล็ดลับ"

- เริ่มที่การเตรียมบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงด้วยการหมักทรีตเม้นต์ที่เหมาะกับสภาพผมประมาณ 2-3 ครั้ง จากนั้นค่อยทำสีผม

- ควรให้ตัวยาเข้าไปสร้างความแข็งแรงก่อนทำสี เพื่อให้ผมได้ฟื้นฟูและไม่แห้งกรอบจนกลายเป็นผมเสียภายหลัง และหลังจากทำสีก็ไม่ควรละเลยเช่นกัน หมั่นบำรุงผมให้เงางามอยู่เสมอด้วยเซรั่

เพียงเท่านี้คุณก็จะมีผมที่สวยดั่งใจปรารถนา ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับผมเสียๆ อีกต่อไป

วิธีขจัดสิวที่หลังแบบง่ายๆ แบบได้ผล!


วิธีขจัดสิวที่หลังแบบง่ายๆ แบบได้ผล


5 วิธีขจัดสิวที่หลังแบบง่ายๆ

1. งดใช้ครีมอาบน้ำ

แล้วหันมาใช้สบู่ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิดเอสิด 2% โดยในระหว่างอาบน้ำให้ใช้ใยบวบขัดผิวไปพร้อมๆ กับสบู่ จากนั้นล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด อย่าลืมเอื้อมมือไปแตะหลังดูว่ายังลื่นอยู่หรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นสิวอาจจะเห่อและไม่หายขาดได้ค่ะ

2. หลังจากอาบน้ำเสร็จ

ควรใช้ครีมหรือโลชั่นสูตร noncomedogenic ซึ่งจะช่วยลดความมันและการเกิดสิวได้

3. ระหว่างวัน

ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่อับชื้น หรือเก็บเหงื่อ เพราะไม่เช่นนั้นสิวอาจจะอักเสบและผุดขึ้นมากกว่าเดิมอีกค่ะ

4. ก่อนนอนทุกคืน

ควรใช้ทรีตเม้นท์ที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide หรือ BP ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ทาบริเวณที่เป็นสิวจะช่วยลดการอุดตันและวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลชงัดมาหลายคนแล้วด้วยนะ

5. เปลี่ยนยาสระผมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

เพราะนั่นอาจเป็นตัวการของสิวที่หลังของคุณนั่นแหละ ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาสิวที่หลัง ขอให้ลองเปลี่ยนมาใช้แชมพูแบบใส แทนที่ครีมแชมพู เพราะจะล้างออกง่ายกว่า และอุดตันได้ยากกว่าค่ะ

ผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"




ผลไม้บำรุงเลือด


5 ผลไม้บำรุงเลือด

1. ทับทิม

ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2. แก้วมังกร

อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตและมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3. สตรอว์เบอร์รี่

ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รีช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่า อาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4. กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5. แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว


ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวันซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว

สครับขัดผิวทำเอง


สครับ คือ

การขัดขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและกระตุ้นระบบไหลเวียนของทั้งเลือดและน้ำเหลืองค่ะ คุณๆ ที่เคยไปใช้บริการแล้วติดใจหรือบางคนไม่สะดวกไปสปา วันหยุดคราวนี้มาทดลองทำสครับที่บ้านกันดีกว่า


หลักคิดของการทำสครับ

1. ต้องรู้ก่อนว่า โดยเฉลี่ยร่างกายของเรามีการผลัดเซลล์ผิวทุก 28 วันฉะนั้นการขัดผิวเดือนละ 2 ครั้ง เป็นความถี่ที่กำลังดี
2. ผิวหน้ากับผิวกายมีความละเอียดต่างกันจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน ผลิตภัณฑ์สำหรับหน้าต้องมีความละเอียดเป็นพิเศษ ส่วนผสมช่วยขัดไม่มีเหลี่ยมคม ไม่ใส่น้ำหอม
3. เวลาขัดตัวใช้ 4 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย หรือฝ่ามือขัดลงน้ำหนักได้เต็มที่ ในขณะที่ขัดผิวหน้าควรใช้เพียงนิ้วกลางกับนิ้วนางเท่านั้น ที่สำคัญต้องนุ่มนวล เบามืออย่างที่สุด
4. คนที่ผิวแห้งไม่ควรเลือกสครับที่มีส่วนผสมของพืชผักผลไม้ที่มีความเป็นกรดสูง ในขณะที่คนผิวมันควรเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำมันมากเกินไป



สครับขัดผิวทำเอง


สครับทำจากอะไรได้บ้าง

ถ้าเราอยากจะทำสครับใช้เองสดๆ ที่บ้าน ลองหาความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทยเลือกพืชที่มีสรรพคุณตามที่เราต้องการหรือหาข้อมูลจากสครับที่เขาทำขายก็ได้ ถ้าไม่อยากหาส่วนผสมหลายชนิดให้ยุ่งยากก็ดูผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือ มีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการของเรา

1. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซีซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิเดนซ์สูง แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง
2. ส้มเช้ง มีคุณสมบัติคล้าย 2 ชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรด
3. ใยบวบ มีความสาก ขัดผิวได้ดี
4. มะละกอ วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก
5. มะนาว เป็นกรด ช่วยให้ผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้า นุ่มขึ้น
6. แตงกวา ช่วยให้ผิวสดชื่น
7. มะพร้าวขูด มีน้ำมันช่วยบำรุงผิว

ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียก ก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกชนิดที่มีผิวสัมผัสนุ่มนวลอย่างมะละกอ ก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย



วิธีเลือก bead ในการขัดหรือขจัดเซลล์ผิว

บีดช่วยเพิ่มความสากในสครับของเรา ทำให้สามารถขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น แต่เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือน และมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น

1. เกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว

2. ข้าวสาร ช่วยให้ผิวขาว
3. น้ำตาลทราย มีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง
4. งา เนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง
5. กาแฟ กระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ
อย่างไรก็ตาม เกลือ น้ำตาล ข้าวสาร มีเหลี่ยม มีความคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อน นอกจากนี้อาจเพิ่มน้ำมันลงไป เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานด้วย

น้ำมันช่วยหล่อลื่น

สำหรับน้ำมันที่ใช้เป็นตัวหลักสามารถเลือกใช้ได้หลายชนิด เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดอัลมอนด์น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันมะพร้าว จุดประสงค์สำคัญคือช่วยหล่อลื่นและช่วยเป็นตัวลดความเข้มขนของกรดสำหรับคนผิวแห้ง รวมทั้งช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

นอกจากนี้อาจเพิ่ม นม โยเกิร์ต น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิวได้ด้วย แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อยจับตัวอยู่บนผิวได้สะดวกแก่การขัด



เลือกกลิ่นตามชอบ

คนที่ไม่ชอบกลิ่นของสมุนไพรเพียวๆ อาจหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว (massage oil) ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมัน เพราะน้ำมันหอมระเหยเพียวๆ จะทำให้ผิวไหม้ 

การเลือกกลิ่นน้ำมันให้เหมาะกับสภาวะร่างกายและจิตใจขณะนั้นก็สำคัญ กลิ่นบางกลิ่นก็เหมาะกับร่างกายในบางช่วง เช่น จัสมินเหมาะสำหรับผู้หญิงใกล้มีรอบเดือนแต่ไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงท้อง โรสแมรี่ไม่เหมาะกับคนเป็นโรคความดันสูง เป็นต้น



สครับให้ถูกวิธี

ถ้าใช้สครับที่ทำเองจะทดสอบด้วยกับครึ่งล่างลงไปถึงเท้าก่อนก็ได้ค่ะ เพราะเท้าเป็นส่วนที่หนาที่สุดสามารถขัดได้ทุกวันแล้วค่อยๆ ขัดสูงขึ้นมา เวลาขัดจะใช้วิธีลูบยาวๆ แบบเทคนิคการนวดอโรมาหรือนวดวนเป็นวงก็ได้ แต่ไม่ควรถูไปถูมาเหมือนถูขี้ไคลเพราะนอกจากเจ็บแล้ว ยังไม่ได้ประโยชน์ในแง่ของการผ่อนคลาย

นวดลงน้ำหนักตามความชอบเน้นบริเวณผิวกร้าน เช่น ข้อศอก ตาตุ่ม เข่า และวนเป็นวงบริเวณข้อพับต่างๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลือง ดังนั้นคนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง ต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรลดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น
ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุดขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา 

สุดยอดอาหารต้านความชรา..มีคำตอบค่ะ!


การรักษาผิวสวยผิวขาว

สุดยอดอาหารต้านความชรา คือ
มะเขือเทศ และซอสมะเขือเทศ มีสารที่เรียกว่า "ไลโคพีน" ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม

- มันเทศ ฟักทอง และแครอต รับประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับ"เบต้า-แคโรทีน" จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้

- บูลเบอร์รี่ และองุ่นม่วง มีสาร "แอนโธไซยานิน" ช่วยกระตุ้นความจำ และการรับรู้
- บล็อกโคลี่ มีสาร "ซัลโฟราเฟน" ช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย
 โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน จะมีคุณค่าทางโภชนาการมาก เหมาะแก่การนำมารับประทาน
- ผักโขม และผักใบเขียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์

- แอปเปิ้ล (ทั้งเปลือก) มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย สาวๆ คนไหนที่ ยี้ เปลือกแอปเปิ้ลอยู่ละก็ หันมากินแอปเปิ้ลทั้งเปลือกกันได้แล้วนะค่ะ

- ชาเขียว เช่นเดียวกับชาดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม

- ขิง ขมิ้น และเครื่องเทศ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ถ้าไม่อยากความจำเสื่อมก็หันมารับประทานสมุนไพรพวกนี่ได้นะค่ะ

- ช็อกโกแลต โกโก้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL 
และลดความเสี่ยงจากเลือดจับตัวเป็นก้อน กินช็อกโกแลตก็ไม่ได้สิวขึ้นเสมอไปนะ

- ไข่ ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานนมไปได้เลย เพราะไข่มีครบทั้ง "เกลือแร่ วิตามิน โปรตีน" ไข่แดงยังอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม

"ลืมกินยาทำไงดี" มีทางแก้!!


วิธีบำรุงสุขภาพ

ลืมกินยาทำไงดี? คำถามนี้คงจะเรียกได้ว่าเป็นกันแทบทุกคนเลยใช่ไหมล่ะค่ะ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธหรอกใช่ไหมค่ะว่า "ไม่เคยลืมกินยา" วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เลจะพาคุณๆ ที่เกิดคำถามที่ว่า ลืมกินยาทำไงดี มาดูวิธีแก้ไขว่าคุณควรทำเช่นไรดีเมื่อลืมกินยา มาไขคำถาม ลืมกินยาทำไงดี นี้ไปพร้อมกับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ไม่ว่าคุณจะลืมกินยาก่อนอาหาร ลืมกินยาหลังอาหาร หรือ ลืมกินยาก่อน วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็มีวิธีแก้การลืมกินยาตามเวลามาฝากกันอีกด้วยค่ะ ต่อไปก็จะได้หมดปัญหา ลืมกินยาทำไงดี? กันแล้วล่ะค่ะ หรือหากว่า คนรอบข้างของคุณมีปัญหา ลืมกินยาทำไงดี? เช่นเดียวกับคุณอย่าลืมที่จะสะกิจเขาสักนิดถึงวิธีแก้การลืมกินยาตามเวลาเพื่อให้เขาได้รู้ด้วยนะค่ะ เอาเป็นว่าไม่ต้องมัวเสียเวลาแล้วล่ะค่ะเรามาไขปัญหา "ลืมกินยาทำไงดี" มีทางแก้!! กันเลยดีกว่าค่ะ


ลืมกินยาทำไงดี


ลืมกินยาทำไงดี? วิธีแก้การลืมกินยาตามเวลา

1. ลืมกินยาก่อนอาหาร

วิธีแก้ : ยาจำพวกนี้จะดูดซึมได้ดีขณะที่ท้องว่าง ดังนั้นหากลืมกินก่อนอาหาร ให้กินหลังอาหารอีกทีเมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง กระเพาะจะใช้เวลาในการย่อยอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง
หลักการที่ถูก : ควรกินก่อนอาหารประมาณ 30-60 นาที

2. ลืมกินยาหลังอาหาร

วิธีแก้ : รีบกินทันทีที่นึกได้ แต่หากเลยหลังอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ให้หาของว่างรองท้องแล้วกินยามื้อที่ลืม แต่ถ้าใกล้เวลากินมื้อต่อไปแล้วให้ข้ามมื้อที่ลืมไปเลย ไม่ควรกินยาเป็น 2 เท่า เด็ดขาด!
หลักการที่ถูก : ควรรับประทานหลังอาหารประมาณ 15-20 นาที 

3. ลืมกินยาหลังอาหารทันที ลืมกินยากินพร้อมอาหาร

วิธีแก้ : ยาประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกระเพาะอาจทำให้ท้องอืดแน่นหรือคลื่นไส้อาเจียนถ้ากินตอนท้องว่าง ดังนั้นควรทำเหมือนกรณีลืมกินยาหลังอาหารทุกประการ
หลักการที่ถูก : ควรกินทันทีหลังอาหารคำสุดท้าย

4. ลืมกินยาก่อนนอน

วิธีแก้ : ลืมแล้วก็ปล่อยให้ลืมไป ไม่ต้องกินซ้ำอีกครั้งในตอนเช้าหรือตามไปกินซ้ำ 2 เท่า ในช่วงก่อนเข้านอนของอีกวัน
หลักการที่ถูก : กินแล้วควรเข้านอนทันที (ยาประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นยาคลายประสาททำให้ง่วงนอนจึงอาจเกิดอุบัติเหตุได้ถ้าไม่อยู่เป็นที่เป็นทาง)

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!


วิธีรักษาสุขภาพ

ชุดชั้นในสีดำมีโอกาสเสี่ยงมะเร็งคุณผู้หญิงรู้กันบ้างหรือไม่ค่ะ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เลยขอนำเรื่องดีๆ ที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณผู้หญิงทั้งหลายที่โดยเฉพาะนิยมเลือกซื้อชุดชั้นในสีดำหรือชื่นชอบชุดชั้นในสีดำกันเป็นพิเศษ แล้วยิ่งเป็นชุดชั้นในสีดำที่ไม่น่าเชื่อถือด้วยคุณผู้หญิงยิ่งต้องระวังรู้ไหมค่ะ แม้ว่าชุดชั้นในสีดำจะใส่แล้วดูเซ็กซี่สวยมากเพียงใดแต่ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้ถ้าคุณผู้หญิงประมาณกันค่ะ ฉะนั้นแล้ววันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มีเรื่องราวของชุดชั้นในสีดำเสี่ยงโรคมะเร็งมาฝากกันในวันนี้ คุณผู้หญิงผู้รักสุขภาพทั้งหลายห้ามละเลยเด็ดขาดเลยนะค่ะ แล้วถ้าไม่อยากเสี่ยงกับโรคมะเร็งที่มาจากชุดชั้นในสีดำสีดำล่ะก็ตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มาความรู้จักกับเรื่อง "ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!" กันเลยดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณผู้หญิงกันทุกคนเลยนะค่ะ


ชุดชั้นในสีดำ เสี่ยงมะเร็ง


คุณรู้หรือไม่ว่า...ชุดชั้นในสีดำ...เสี่ยงมะเร็ง!

จากการศึกษาของนิตยสาร Öko-Test ในประเทศเยอรมนีที่ทำการทดสอบชุดชั้นในสีดำ 25 ตัว พบสารก่อมะเร็ง เนื่องจากชุดชั้นในสีดำบางยี่ห้อมีสารเคมีสีดำในปริมาณสูงซึ่งเป็นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตัวก่อมะเร็ง เพราะเมื่อผู้สวมใส่มีเหงื่อออกสารเคมีก็จะตกสีออกมาทำให้ผิวหนังได้รับสารเคมีอันตรายและมันจะกระตุ้นให้เกิดมะเร็งได้

นอกจากสารเคมีสีดำก็ยังพบสารอันตรายที่ชื่อว่า Diethyhexylpthalate (DEHP) ซึ่งเป็นตัวยึดทรงชุดชั้นใน สารตัวนี้ติดอันดับในรายการสารอันตรายที่ทางสหภาพยุโรประบุไว้ เพราะเป็นสารก่อมะเร็งและเป็นสารต้องห้ามสำหรับของเด็กเล่นและผลิตภัณฑ์ทารก

แต่สาวๆ ที่มีชุดชั้นในสีดำก็อย่าเพิ่งตกใจจนต้องโยนชุดชั้นในสีดำทิ้ง ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า หากซื้อชุดชั้นในสีดำมาก็จะต้องซักล้างให้สะอาดเกลี้ยงเกลาก่อนใส่ทุกครั้ง

วิธีบริหารใบหน้า กระชับ อ่อนเยาว์ สวย!


6 วิธีบริหารใบหน้า

 

วิธีบริหารใบหน้า กระชับ อ่อนเยาว์ สวย

ออกกำลังกายให้ใบหน้า

ผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายคนพยายามชี้ให้เราเห็นถึงประโยชน์ของการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้า "การกระชับกล้ามเนื้อใบหน้าเพื่อให้ใบหน้าได้รูปทำได้ง่ายๆ โดยการบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าทุกวันแล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างภายในระยะเวลาสั้นๆ" บาร์บารา เคอร์รี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะที่มีชื่อเสียงกล่าว

บาร์ติ วาส นักบำบัดด้านความงามและสุขภาพชั้นนำเห็นด้วยเธอเชื่อว่าขณะที่เราไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างกระดูกแต่เราทำให้กล้ามเนื้อใบหน้ากระชับแข็งแรงได้ "การบริหารกล้ามเนื้อไม่เพียงจะทำให้ใบหน้าตึงกระชับเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์ แต่ยังช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นด้วย" เธอบอก "โดยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตสารเคมีแห่งความสุขตามธรรมชาติที่เรียกว่าเอนดอร์ฟินออกมา"

ต่อไปนี้คือท่าบริหารที่ผู้เชี่ยวชาญเลือกสรรมาให้คุณได้ลองทำดูแต่ก็อย่าลืมบำรุงดูแลผิวร่วมด้วย เพราะการบริหารใบหน้าร่วมกับการดูแลถนอมผิวจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์ตลอดกาล

1. ในหน้าเรียวขึ้น แครอล แมกจิโอแนะว่า :

อ้าปากแล้วห่อริมฝีปากคร่อมฟันหน้าไว้ ดึงมุมปากไปทางฟันหลังและห่อปากให้แน่น ทีนี้ให้นึกภาพซีกหน้าด้านข้างของคุณเคลื่อนช้าๆ ผ่านขากรรไกรขึ้นไปข้างบนศีรษะ พยายามดันพลังที่อยู่ในจิตนี้ไปตามใบหน้าด้านข้างกระทั่งรู้สึกถึงความร้อนผ่าว ค้างไว้ในท่านี้ขณะนับ 1-30 จากนั้นทำตัวตามสบาย ทำซ้ำวันละ 2 ครั้ง

2. กระชับคางและลำคอ แครอลแมกจิโอแนะนำว่า :

นั่งตัวตรงเชิดคางสูง หุบปากให้สนิทและฉีกยิ้ม วางมือลงตรงฐานลำคอเหนือไหปลาร้าทั้งสองข้างแล้วดึงผิวหนังลำคอเบาๆ เอนศีรษะไปข้างหลังปล่อยคอตามสบายคุณจะรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อคางและลำคอถูกรั้ง เอนศีรษะกลับสู่จุดเดิม ทำท่านี้ 35 ครั้ง จะช่วยให้ลำคอกระชับไม่เหี่ยวย่น "การลดน้ำหนักก็ส่งผลเสียต่อผิวเช่นกัน หากคุณอายุ 40 ปีขึ้นไป และลดน้ำหนัก 6-12 กิโลกรัมขึ้นไป คุณจะเห็นรอยย่นที่คอของตัวเองอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับแรงโน้มถ่วงที่มีผลทำให้ผิวหย่อนยาน"

3. กระชับขากรรไกร บาร์บารา เคอร์รี่แนะนำว่า

ฉีกยิ้มให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้คล้ายการแสยะยิ้ม หงายศีรษะไปด้านหลังขณะที่ยังฉีกยิ้มอยู่ ค่อยเปิดปากและปิดปากช้าๆ 3 ครั้ง รับรองเห็นผลและช่วยกระชับขากรรไกรไม่ให้หย่อนยาน

4. กระชับขากรรไกร "บางคนไม่มีคางสองชั้น แต่มีแอ่งข้างลำคอและย่นตรงกลางที่เรียกว่า คอย่น" บาร์บารากล่าว "ต่อไปนี้คือสุดยอดวิธีบริหารขากรรไกรที่จะช่วยต่อสู้กับปัญหาดังกล่าว"

นั่งตัวตรง หายใจเข้าลึกๆ ค่อย ๆ หงายศีรษะไปด้านหลัง ตอนนี้ให้หายใจออก ดึงริมฝีปากล่างขึ้นมาในทิศทางเดียวกับจมูก ทำท่านี้ค้างไว้นับ 1-5 กลับสู่ท่าเดิมและผ่อนคลายทำซ้ำ 3 ครั้ง

5. กำจัดรอยย่นที่หน้าผาก "นี่คือวิธีออกกำลังกายหน้าผากที่ได้ผล" บาร์บาราบอก "ช่วยกำจัดรอยย่นที่เกิดจากความเครียด ทำให้หน้าผากเนียนเรียบ"

หลับตาและหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายหน้าผากโดยทำคิ้วต่ำๆ เอามือข้างหนึ่งวางทับบนมืออีกข้าง เอานิ้วมือสอดเข้าหากัน ใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ จากบนคิ้วขึ้นไปหาเนินผม หายใจเข้าลึกๆ ขณะหายใจออก ให้ใช้นิ้วค่อย ๆ นวดคลึงตามรอยย่นจากกลางหน้าผากออกไปหาขมับทำซ้ำช้าๆ 7 ครั้ง

6. กระชับแก้ม "วิธีบริหารด้วยการยิ้มจะช่วยยกกระชับแก้มและช่วยยกมุมปากขึ้น" บาร์ติกล่าวไว้ในหนังสือ Bharti Vyas’s Fabulous ของเธอ

ฉีกยิ้มกว้างๆ พยายามฝืนตัวเองให้ฉีกยิ้มกว้างออกไปอีกกระทั่งคิ้วเลิกสูงขึ้น ใช้ปลายนิ้วดึงมุมปากทั้งสองข้างขึ้นไปทางใบหู ผ่อนคลายกล้ามเนื้อใบหน้า ทำซ้ำ 10 ครั้ง

7. กระชับเปลือกตาหย่อนยาน

ท่านี้ทำได้ทั้งตอนนั่งหรือนอนราบ วางนิ้วชี้ทั้งสองกดบนหน้าผากบริเวณเหนือคิ้ว ขณะทำให้เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นลดคิ้วลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง จากนั้นให้เลิกคิ้วขึ้นค้างไว้ ขณะที่นิ้วชี้ทั้งสองก็ยังกดบนหน้าผากอยู่ ทำค้างไว้นับ 1-30 จากนั้นลดคิ้วลงและเอามือออก ใช้นิ้วนวดวนบริเวณหน้าผากเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ